Adverb
http://mrswarnerarlington.weebly.com/adverbs.html
Adverb
-Adverb คือ คำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยา, คุณศัพท์, และกิริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์ที่เด่นชัดยิ่งขึ้น เช่น:-
-She walks slowly.
=หล่อนเดินเชื่องช้า.
-slowly ทำหน้าที่เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยาคือ walks
-That man is very strong.
=ชายคนนั้นแข็งแรงมาก.
-very ทำหน้าที่เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยาคือ is
-She is too clever.
=หล่อนฉลาดมาก.
-too ทำหน้าที่เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยาคือ is
หน้าที่ของกิริยาวิเศษณ์
1.Adverb ทำหน้าที่ขยายกิริยา
2.Adverb ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์
3.Adverb ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง
4.Adverb ขยายสรรพนาม
5.Adverb ทำหน้าที่ขยายบุรพบทวลี
6.Adverb ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค
Adverb ทำหน้าที่ขยายกิริยา
-Adverb ทำหน้าที่ขยายกิริยาเป็นการบอกลักษณะของการกระทำของกิริยาว่าจะกระทำอย่างไร คำที่เป็นกิริยาวิเศษณ์เหล่านี้ส่วนมากมาจากคำคุณศัพท์ที่เติม ly แล้วกลับกลายเป็นกิริยาวิเศษณ์ใช้วางไว้หลังกิริยา เข่น:-
-He walks slowly.
=เขาเดินช้า.
-He speaks loudly.
=เขาพูดเสียงดัง.
-She is beautiful really.
=หล่อนสวยจริงๆ.
-ข้อควรจำ:-
1.ถ้าในประโยคใดมีคำคุณศัพท์อยู่ด้วยให้วาง adverb ไว้หลังคุณศัพท์ตัวนั้น เช่น:-
-Wannipa is beautiful really.
=วรรณิภาสวยจริงๆ.
2.ถ้าในประโยคใดกิริยาของประโยคมีกรรมให้วาง adverb ไว้หลังตัวกรรมเสมอ เช่น:-
-She speaks me loudly.
=เธอพูดกับฉันเสียงดัง.
Adverb ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์
-Adverb ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์วางไว้หลังหรือวางไว้หน้าคุณศัพท์ก็ได้ เช่น:-
-adverb คือคำกิริยาวิเศษณ์วางไว้หลังคุณศัพท์ เช่น:-
-My mother is kind really.
=แม่ของฉันใจดีจริงๆ.
-kind เป็นคุณศัพท์
-really เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์คือ kind
-He is stupid enough to do that.
=เขาโง่พอที่จะทำเช่นนั้นได้.
-stupid เป็นคำคุณศัพท์
-enough เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายคุณศัพท์คือ stupid
-My younger sister is very intelligent.
=น้องสาวของฉันเป็นคนฉลาดมาก.
-very เป็นกิริยาิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์ intelligent
-Adverb คือคำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้วางไว้ข้างหน้าคุณศัพท์ เช่น:-
-We go to Bangsean almost very Sunday.
=พวกเราไปบางแสนเกือบจะทุกวันอาทิตย์.
-almost (ออลโมสท์) แปลว่า "เกือบจะ" เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่เป็น adverb ขยายคุณศัพท์คือ very
-Nearly, all the foreigners stay at the Erawan Hotel.
=ชาวต่างประเทศแทบทุกคนพักอยู่ที่โรงแรมเอราวัณ.
-nearly (เนียร์ลิ) แปลว่า "เกือบ, แทบ" เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์คือ all
-ข้อควรจำ:- คำกิริยาวิเศษณ์เหล่านี้ ถ้านำเอามาขยายคุณศัพท์มักจะวางไว้หน้าคุณศัพท์เสมอ คือ very often so still rather
Adverb ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์ด้วยกัน
-Adverb ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์ด้วยกัน และมักจะวางไว้หน้ากิริยาวิเศษณ์ตัวที่มันขยาย มีลักษณะการสร้างประโยคดังนี้
-He drives a car very fast.
=เขาขับรถเร็วมาก.
-very เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาวิเศษณ์ประเภทเดียวกันคือ fast
-She speaks so well.
=หล่อนพูดได้ดีมาก.
-so เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยาวิเศษณ์คือ well
-It rained rather heavily yesterday.
=ฝนตกค่อนข้างหนักเมื่อวานนี้.
-rather เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาวเศษณ์คือ heavily
Adverb ทำหน้าที่ขยายสรรพนาม
-Adverb ทำหน้าที่ขยายสรรพนามมีลักษณะในการสร้างประโยคดังนี้
-What else can I say ?
=นอกจากนี้ฉันพูดอะไรได้อีก?
-else (เอลซฺ) เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายสรรพนามคือ what
-Hardly nobody likes him, because he is cruel.
=แทบจะไม่มีใครชอบเขาเลยเพราะเขาเป็นคนโหดร้าย.
-hardly เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายสรรพนามคือ nobody
-Everybody still pity her.
=ทุกคนยังคงสงสารเธอ.
-still เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายสรรพนามคือ everybody
Adverb ทำหน้าที่ขยายคำบุรพบทวลี
-Adverb ทำหน้าที่ขยายบุรพบทวลี ต้องวางไว้ข้างหน้าบุรพบทวลีตัวนั้นเสมอ โดยมีลักษณะในการสร้างประโยคดังนี้
-You ought to go right of the road.
=คุณควรจะไปทางขวาของถนน.
-right เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายบุรพบทวลีคือ of the road
-We shall go quietly to see him.
=พวกเราจะไปอย่างเงียบๆเพื่อพบเขา.
-quietly เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายบุรพบทวลีคือ to see him
-Bangkok is the city magically of Asia.
=กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงที่น่าอัศจรรย์ของเอเซีย.
-magically เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายบุรพบทวลีคือ of Asia
Adverb ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค
-Adverb ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยคต้องวาง adverb ตัวนั้นไว้ข้างหน้าของประโยค เช่น:-
-Finally, he gives in her in the many ways.
=ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้เธอในทุกกรณี.
-Finally เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายเนื้อความทั้งประโยคดือ he gives in her in the many ways
-Fortunately, no one complained of me.
=โชคดีจริง,ี่ไม่มีใครบ่นถึงฉัน.
-Fortunately เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อหาทั้งประโยค
-Very fast, you have to reach them today.
=เร็วมาก, คุณต้องไปถึงพวกเขาในวันนี้.
-very fast เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อหาทั้งประโยค
-In fact, they have to reach destination in this month.
=ตามความเป็นจริงพวกเขาต้องไปให้ถึงจุดหมายปลายทางในวันเดือนนี้.
-In fact เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อความทั้งประโยค
ชนิดของคำกิริยาวิเศษณ์
-คำกิริยาวิเศษณ์แบ่งออกเป้น 2 ชนิด คือ:-
1.Simple Adverb (ซิมเพิล แอ๊ดเวิร์บ) แปลว่า "สามัญกิริยาวิเศษณ์, กิริยาวิเศษณ์อย่างง่าย"
2.Interrogative Adverb (อินเทอะร็อกกะทีฟว์ แอ๊ดเวิร์บ) แปลว่า "ปฤจฉากิริยาวิเศษณ์, คำกิริยาวิเศษณ์ที่เป็นคำถาม"
Simple Adverb
-Simple adverb คือคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาแบบธรรมดา แบ่งเป็นข้อย่อยออกไปอีก 7 ชนิด คือ:-
1.Adverb of manner (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ แมนเนอร์ ) แปลว่า "อาการกิริยาวิเศษณ์"
2.Adverb of quality (แอ๊ดเวิร์บ ควอลิทิ) แปลว่า "ประมาณกิริยาวิเศษณ์"
3.Adverb of time (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ ไทม์) แปลว่า "กาลกิริยาวิเศษณ์"
4.Adverb of frequency (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ ฟรีเควนซี่) แปลว่า "จำนวนเวลากิริยาวิเศษณ์"
5.Adverb of place (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ เพลซ) แปลว่า "สถานที่กิริยาวิเศษณ์"
6.Adverb of affirmation or negation (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ แอ๊ฟเฟอร์เมชั่น หรือ เนเกชั่น) แปลว่า
"กิริยาวิเศษณ์เกี่ยวกับการรับหรือการปฏิเสธ"
7.Emphasizing adverb (เอ็มฟะไซซิ่ง แอ๊ดเวิร์บ) แปลว่า "คำกิริยาวิเศษณ์แสดงการเน้น"
Adverb of manner
Adverb of manner (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ แมนเนอร์ ) แปลว่า "อาการกิริยาวิเศษณ์, ลักษณะกิริยาวิเศษณ์" คือคำกิริยาวิเศษณ์ที่ขยายกิริยาที่แสดงอาการ หรือ ลักษณะ เช่น:-
-Malee sings sweetly.
=มาลีร้องเพลงไพเราะ.
-sweetly เป็นคำกิริยาวิเศษณ์แสดงอาการ ทำหน้าที่ขยายกิริยาคือ sings
-The soldiers fought bravely.
=ทหารต่อสู้อย่างกล้าหาญ.
-bravely เป็นกิริยาวิเศษณ์ที่แสดงคุณลักษณะของกิริยาคือ fought
Adverb of quality
Adverb of quality (แอ๊ดเวิร์บ ควอลิทิ) แปลว่า "ประมาณกิริยาวิเศษณ์, กิริยาวิเศษณ์ที่แสดงปริมาณ"
ใช้ขยายกิริยาวิเศษณ์หรือคุณศัพท์ เพื่อแสดงให้รู้ว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น:-
-very too most fully any long
-quite enough so partly no
-ตัวอย่างเช่น:-
-We are very happy.
=พวกเรามีความสุขมาก.
-very เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายคุณศัพท์คือ happy
-Laddawan is too clever.
=ลัดดาวัลย์ฉลาดมาก.
-too เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายคุณศัพท์คือ clever
-He is a most careful driver.
=เขาเป็นคนขับที่ระมัดระวังมากที่สุด.
-most เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์คือ careful
-She runs most slowly.
=หล่อนวิ่งช้ามากที่สุด.
-most เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยวิเศษณ์คือ slowly
-They appreciate never fully their luck.
=พวกเขาไม่เคยชื่นชมอย่างเต็มที่ต่อโชคชะตาชีวิตของพวกเขา.
- We can meet her any only day.
=พวกเราสามารถพบเธอได้เพียงบางวันเท่านั้น.
-any เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์คือ only
-We talked all night long.
=พวกเราคุยกันตลอดทั้งคืน.
-long เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์คือ night
-She did quite well.
=เธอทำได้ค่อนข้างดี.
-quite (ไควทฺ) แปลว่า "ทีเดียว, ค่อนข้าง" เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยาย กิริยาวิเศษณ์คือ well
-She grew enough to know what is good.
=เธอโตพอที่จะรู้ว่าสิ่งไหนดี.
-enough เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาคือ grew
-She had felt so happy.
=เธอมีความรู้สึกมีความสุขมาก.
-so เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์คือ happy
-What you say is only partly true.
=สิ่งที่คุณพูดเป็นความจริงเพียงบางส่วน.
-partly (พาร์ทลี่) แปลว่า "เป็นบางส่วน" เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์คือ true
- “Are you going?” “No, I am not going.”
= "คุณจะไปหรือ ?" "ไม่, ฉันจะไม่ไป."
no เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าขยายเนื้อความทั้งประโยคคือ I am not going.
-She shook her head no.
=หล่อนส่ายหัวว่าไม่.
-no เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายเนื้อความทั้งประโยคคือ She shook her head.
Adverb of time
-Adverb of time (แอ๊ดเวิร์บ อ๊อฟ ไทม์) คือคำกิริยาวิเศษณ์ที่แสดงถึงเวลาของการกระทำคือ now today yesterday soon tomorrow เช่น:-
-I shall go from here now.
=ฉันจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้.
-now เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์คือ here
-You have to go to see her today.
=คุณควรจะไปพบเธอวันนี้.
-today เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์คือ here
-Laddawan went to visit her mother yesterday.
=ลัดดาวัลย์ไปเยี่ยมแม่ของเธอเมื่อวานนี้.
-yesterday เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขายกิริยาคือ visit
-My younger sister will come to me soon.
=น้องสาวของฉันจะมาพบฉันในเร็วๆนี้.
-soon เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาคือ come
-Tomorrow, I shall go to foreign country.
=วันพรุ่งนี้, ฉันจะไปต่างประเทศ.
-Tomorrow เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายเนื้อความทั้งประโยคคือ I shall go to foreign country.
Adverb of frequency
-Adverb of frequency คือคำกิริยาวิเศษณ์ที่แสดงถึงจำนวนความถี่ของเวลา เช่น:- once twice always often เช่น:-
-We went there once.
=พวกเราไปที่นั่นครั้งเดียว.
-once เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาวิเศษณ์คือ there
-The postman brought letters to send Wannee twice.
=บุรุษไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งแก่วรรณีสองครั้งแล้ว.
-twice (ทะไวซฺ) แปลว่า "สองครั้ง" เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยาคือ send
-She likes to come to see me in Sunday always.
=หล่อนชอบมาพบผมในวันอาทิตย์เสมอ.
-always เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาคือ see โดยการวางไว้หลังกรรมคือ me
-That boy is always diligent.
=เด็กชายคนนั้นขยันหมั่นเพียรเสมอ.
-always เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์ diligent
-Naree often goes to the supermarket usual.
=นารีมักไปซุเปอร์มาร์เก็ตนั้นเป็นประจำ.
-often เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายกิริยาคือ goes
Adverb of place
-Adverb of place คือกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยาที่แสดงเกี่ยวกับสถานที่ เช่น:- here there in
out down
-ตัวอย่างเช่น:-
-Come here.
=เชิญมาที่นี่.
=here เป็นดำกิริยาวิเศษณ์ใช้ขายกิริยาคือ come
-Go there in today.
=จงไปที่นั้นในวันนี้.
-there เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยาคือ go
-She lives in Bangkok.
=หล่อนอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ.
=in เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยาคือ lives
-You have to go out from there now.
=คุณต้องออกไปจากที่นั้นในตอนนี้เลย.
-out เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยาคือ go
-He fell down on floor. (ฟลอร์ =พื้น)
=เขาล้มลงบนพื้น.
-down เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาคือ fell (fell ตัวนี้มาจาก fall)
Adverb of affirmation or negative
-Adverb of affirmation or negative คือกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายคำกิริยาที่แสดงเกี่ยวกับการรับหรือการปฏิเสธ เช่น:- certainly surely exactly not
-certainly (เซอร์เทนลิ) =อย่างแน่นอน, เที่ยงแท้ เช่น:-
-I shall go to see her certainly in today.
=ผมจะไปพบเธออย่างแน่นอนในวันนี้.
-surely (ซัวร์ลี่) =มั่นใจ ซัวร์ แท้ เช่น:-
-She beliefs surely to do success.
=เธอเชื่อมั่นที่จะทำสำเร็จ.
-exactly (เอ็คแซคลิ) =อย่างแน่นอน, เผง แม่น เป๊ะ แม่น ดิก เที่ยง หมง แม่นยำอย่างสมบูรณ์แบบ เป๋ง เที่ยงแท้ แน่นอน เปรี๊ยะ เพะ ตรงอย่างแม่นยำ เป้ง เช่น:-
-I know exactly where they went.
=ฉันรู้อย่างแน่นอนถึงสถานที่ๆเขาไป.
-exactly เป็นกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาคือ know
-The two rooms are exactly the same size.
=สองห้องเป็นขนาดเดียวกันเป๊ะ.
-exactly เป็นกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยาคือ are
Emphasizing adverb
-Emphasizing adverb คือคำกิริยาวิเศษณ์ที่แสดงการเน้น ได้แก่เน้นข้อความให้มีความหมายเด่นชัดขึ้น
เช่น only too even then such
-only (ออนลี่) adj. แปลว่า "เท่านั้น เดียว เดี่ยว เอก เพียงคนเดียว หนึ่งเดียว" adv. แปลว่า "เท่านั้น เดียว แต่ แค่ เพิ่ง เอาแต่ สัก เอง ดาย" เช่น:-
-We only work in this month.
=พวกเราเพิ่งทำงานในเดือนนี้.
-only เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาคือ work และวางไว้หน้ากิริยาตัวที่มันขยาย
-She had been there only twice in her life.
=หล่อนได้อยู่ที่นั้นเพียงสองครั้งเท่านั้นในชีวิตของเธอ.
-only เป็นกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาคือ had been และวางไว้หลังกิริยา
-too (ทู) adv. แปลว่า "เกินไป ด้วย ก็ อีก เหลือเกิน เหมือนกัน ด้วยซ้ำ" เช่น:-
-We are selling the house and the furniture too.
=พวกเราจะขายบ้านและเฟอร์นิเจอร์ที่มากเกินไป.
-too เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกิริยาคือ selling ในประโยคนี้ too วางไว้หลังกรรมคือ the house and the furniture
-He saw something, and she saw it too.
=เขเเห็นบางสิ่งและหล่อนก็เห็นมันเหมือนกัน.
-“I'm hungry.” “Me too.”
=ผมหิว. ฉันก็หิวเหมือนกัน.
-too เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาคือ am
-even (อีเว็น) adv. แปลว่า "แม้ แม้แต่ แม้ว่า แม้น แม้นว่า ต่อให้ ยิ่งกว่านั้น พอๆกัน" adj.แปลว่า "สม่ำเสมอ เท่า เรียบ พอดี เป็นคู่ เสมอกัน คงที่ ขนาดที่" เช่น:-
-It's so simple that even a child can do it.
=มันเป็นเรื่องง่ายมากแม้กระทั่งเด็กก็ยังทำได้.
-even เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายคุณศัพท์คือ that
-His first book was good, but this one is even better.
=หนังสือเล่มแรกของเขาดีแต่เล่มนี้ก็จะดียิ่งกว่านั้น.
-even เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายายกิริยาคือ is
-then (เธ็น) adv. แปลว่า " ก็ จึง ต่อ ค่อย เวลานั้น ถัดมา อีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นอกจากนั้น ตอนนั้น ตอนนี้ เมื่อนั้น ในขณะนั้น adj. แปลว่า "ดังนั้น, เช่นนั้น"
-Just then he walked in.
=ทันใดนั้นเขาก็เดินเข้ามาข้างใน.
-Back then, he was living in New York City.
=ครั้นกลับมาแล้วเขาก็อาศัยอยู่ในเมืองนิวยอร์ก.
-then เป็นคำกิริยาวเศษณ์ขยายกิริยาคือ back
-such (ซัช) adv. แปลว่า "ดังนั้น แท้ๆ จริงๆ เช่นกัน เช่นนั้น อย่างเช่น เช่นนี้" conj. แปลว่า "เยี่ยง" adv. แปลว่า "ดั่ง ปานฉะนี้" pro. แปลว่า "นั้นๆ" เช่น:-
-such ใช้เป็น adverb เช่น:-
-She wears such stylish clothes.
=หล่อนสวมใส่เสื้อผ้าทันสมัยเช่นนั้น.
-such ทำหน้าที่เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยาคือ wears
-such ใช้เป็น adjective เช่น:-
-I've never seen such a large crowd here before.
=ฉันไม่เคยพบห็นฝูงชนขนาดใหญ่เช่นนั้นมาก่อน.
-such ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายนามคือ crowd
-such ใช้เป็น pronoun เช่น:-
-If such is the decision, nothing further should be done.
=ถ้าดังกล่าวคือการตัดสินใจก็ไม่มีอะไรที่ควรจะทำ.
-such ใช้เป็น conjunction เช่น:-
-It is a serious problem such it should be treated such.
=มันเป็นปัญหาที่ร้ายแรงเยี่ยงนั้นมันจึงได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น.
-such ตัวแรกทำหน้าที่เป็นคำบุรพบทเชื่อมปะโยคทั้งสงเข้าด้วยกัน
-such ตัวหลังทำหน้าที่เป็นคำกิริยาวเศษณ์ขยายกิริยาคือ treated
-อนึ่งคำว่า "yes และ no" ก็จัดเข้าในจำพวกกิริยาวิเศษณ์ด้วย แต่คำว่า "no" นั้นถ้าใช้ขยายนามก็เป็นคุณศัพท์ แต่ถ้าใช้ขยายทั้งประโยคก็เป็นกิริยาวิเศษณ์ เช่น:-
-no ใช้ขยายนาม เช่น:-
-I have no time to go there.
=ฉันไม่มีเวลาที่จะไปที่นั้น.
-no ในระโยคนี้ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามคือ time
-no ใช้ขยายทั้งประโยค เช่น:-
-Has she come here ? =หล่อนได้มาที่นี้หรือ?
-No, she has not come here. =เปล่า, หล่อนไม่ได้มาที่นี้.
-no ในประโยคนี้เป็นกิริยาวิศษณ์ขยายเนื้อความทั้งประโยคคือ she has not come here.
Interrogative Adverb
-Interrogative adverb คือคำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้เป็นคำถามใช้ขยายคำกิริยามี 7 ตัว คือ:-
1.when (เว็น) =เมื่อไหร่
2.where (แวร์) =ที่ไหน
3.why (วาย) =ทำไม
4.how (ฮาว) =อย่างไร
5.how often (ฮาว อ๊อฟเฟ็น) =กี่ครั้ง, บ่อยเท่าไหร่
6.how far (ฮาว ฟาร์) =ไกลเท่าไหร่
7.how long (ฮาว ลอง) =นานเท่าไหร่
When
-when (เว็น) แปลว่า "เมื่อไหร่" มีหน้าที่ 3 อย่าง ในประโยค คือ:-
1.ทำหน้าที่เป็น adverb คือคำกิริยาวืเศษณ์ วางไว้ต้นประโยค เช่น:-
-When will you return?
=คุณจะกลับมาเมื่อไหร่ ?
-when เป็นกิริยาวิเศษณ์ใช้ขยายกิริยาคือ return
-When did the American Civil War begin?
=สงครามกลางเมืองในอเมริกาเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ?
**when ถ้าเป็น adverb มักจะวางไว้ต้นประโยค
2. ทำหน้าที่เป็น conjunction คือคำบุรพบท วางไว้กลางประโยคและต้นประโยคก็ได้ เช่น :-
-We went fishing when we were on vacation.
=พวกเราไปตกปลาเมื่อพวกเราอยู่ในวันหยุด.
-I'll leave when you do.
=ฉันจะออกไปเมื่อคุณทำ.
-When he finally showed up, he was drunk.
=ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อเขาเมา.
3. ทำหน้าที่เป็น pronoun วางไว้กลางประโยคหรือวางไว้ท้ายประโยคก็ได้ เช่น:-
-He retired in 1998, since when he has been devoting his time to gardening.
=เขาเกษียณในปี 1998 ตั้งแต่เมื่อนั้นเขาก็ได้อุทิศเวลาของเขากับการทำสวน?
-You need the report by when?
=คุณต้องการรายงานเมื่ไหร่ ?
Where
-where (แวร์) แปลว่า "ที่ไหน" มีหน้าที่ 2 อย่าง ในประโยค คือ:-
1.where ทำหน้าที่เป็น adverb วางไว้ต้นประโยค เช่น:-
-Where did you meet her?
=คุณพบเธอที่ไหน ?
-Where did you hear that?
=คุณได้ยินเรื่องนั้นที่ไหน ?
2. where ทำหน้าที่เป็น conjunction วางไว้ตรงกลางประโยค เช่น:-
-Please stay where you are.
=จงอยู่สถานที่ๆคุณอยู่.
-where ทำหน้าที่เป็นคำบุรพบทเชื่อมต่อประโยคและวลีเข้าด้วยกัน
-We sat down where there was some shade.
=พวกเราจงนั่งลงตรงที่มีร่มเงาบางส่วน.
-where ทำหน้าที่เป็นคำบุรพบทเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน
-He put the note where she could easily see it.
=เขาใส่หมายเหตุตรงที่หล่อนจะสามารถมองเห็นมันได้อย่างง่ายๆ.
-where ทำหน้าที่เป็นคำบุรพบทเชื่อมประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน
Why
-why (วาย) แปลว่า "ทำไม" มีหน้าที่ 3 อย่าง ในประโยค คือ:-
1.why ทำหน้าที่เป็น adverb คือกิริยาวิเศษณ์ วางไ้ต้นประโยค เฃ่น:-
-Why did you quit your job?
=ทำไมคุณจึงลาออกจากงาน ?
-why ทำหน้าที่เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อความทั้งประโยค
-Why are you laughing?
=คุณหัวเราะทำไม ?
-why เป็นกิริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายเนื้ความทั้งประโยค
-Why is the sky blue?
=ทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีน้ำเงิน ?
2.why ทำหน้าที่เป็น conjunction คือคำบุรพบท วางไว้กลางประโยค ในประโยคไม่ใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น:-
-I know why he did it.
=ฉันรู้ว่าทำไมเขาจึงทำ.
-why เป็นคำบุรพบทใช้เชื่อมต่อ 2 ประโยคเข้าด้วยกัน
-It's easy to see why she fell in love with him.
=มันง่ายที่จะเห็นว่าทำไมหล่อนจึงตกหลุมรักเขา.
-why เป็นคำบุรพบทเฃื่อต่อ 2 ประโยคเข้าด้วยกัน
-He's a very good player. That's why he made the strong team.
=เขาเป็นนักเล่นที่ดี. นั่นคือเหตุผลที่เขาทำทีมงานให้แข็งแกร่ง.
-why เป็นคำบุรพบททำหน้าที่เชื่อมต่อ 2 ประโยคเข้าด้วยกัน
3.why ทำน้าที่เป็น interjection คือคำอุทาน วางไว้หน้าประโยค เช่น:-
-Why, I can't imagine such a thing!
=ทำไมฉันจึงไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งดังกล่าวได้.
-why เป็นคำอุทานขยายเนื้อความทั้งประโยค
-“Do you know him?” “Why, yes! We know him quite well.”
="คุณรู้จักเขาหรือ ?" "ทำไมถึงใฃ่ ? พวกเรารู้จักเขาดีทีเดียว."
-why เป็นคำอุทานขยายเนื้อความทั้งประโยค
-“Would you like another drink?” “Why, yes. Thank you.”
="คุณต้องการเครื่องดื่มอย่างอื่นหรือ?" "ทำไมถึงใช่? ขอบคุณ"
-why เป็นคำอุทานขยายเนื้อควาทั้งประโยค"
How
-how (ฮาว) แปลว่า "อย่างไร" มีหน้าที่ 3 อย่าง ในประโยค คือ:-
1.how ทำหน้าที่เป็น adverb คือกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อความทั้งประโยค วางไว้ข้างหน้าประโยค เช่น:-
-How and where did you meet him?
=คุณพบเขาอย่างไร?และที่ไหน?
-how เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อความทั้งประโยค
-How shall I address the President?
=ฉันจะจำประธานอย่างไร?
-how เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อความทั้งประโยค
-How will we pay for the trip.
=พวกเราจะจ่ายค่าการเดินทางอย่างร?
-how เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายเนื้อความททั้งประโยค
2.how ทำหน้าที่เป็น conjunction คือคำสันธาน วางไว้กลางประโยค เช่น:-
-We asked how we could help.
=พวกเราถามถึงวิธีที่พวกเราจะช่วยเหลือ.
-how เป็นคำสันธานที่ใช้เชื่อมต่อประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน
-Let me tell you how we'll pay for the trip.
=อนุญาตให้ฉันบอกคุณถึงวิธีที่พวกเราจะจ่ายค่าการเดินทาง.
-how เป็นคำสันธานเชื่อประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน
-The book tells the story of how the company was founded.
=หนังสือเล่มนี้บอกเรื่องราวของวิธีการก่อตั้งบริษัท.
-how เป็นคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน
**ข้อควรจำ:- ถ้า how ใช้เป็นคำสันธานเวลาแปลเป็นไทยต้องแปลว่า "วิธี" ไม่ได้แปลว่า "อย่างไร"
How often
-how ถ้าใช้คู่กับ often แปลว่า "กี่ครั้ง, บ่อยแค่ไหน"
-โครงสร้างของประโยค: How often + กิริยาช่วย + ประธาน + กิริยาหลักช่องที่ 1 เช่น:-
-ถาม: How often do you think of me?
=คุณคิดถึงฉันบ่อยแค่ไหน?
-ตอบ:- I think of you every beat of my heart.
=ฉันคิดถึงคุณทุกลมหายใจ.
-ถาม:-How often should I brush my teeth?
=ฉันควรจะแปรงฟันของฉันบ่อยแค่ไหน?
-ตอบ:-Twice a day. สองครั้ง ต่อ วัน
-ถาม:-How often does she go shopping?
=หล่อนไปชอปปิ้งบ่อยแค่ไหน?
-ตอบ:-Once a week.
=1 ครั้งต่อสัปดาห์
How far
-how far แปลว่า "ไกลแค่ไหน" วางไว้หน้าประโยคหรือกลางประโยคก็ได้ ใช้กับระยะทาง เช่น:-
-Try how far you can jump.
=จงทดลองดูว่าคุณสามารถกระโดดได้ไกลแค่ไหน.
-Do you know how far it is from the station to city hall?
=คุณรู้ว่ามันอยู่ไกลจากสถานีของศาลากลางจังหวัดแค่ไหน?
-I cannot say how far his story is true.
=ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าเรื่องของเขามันจริงแค่ไหน.
-how far ใช้วางใช้ต้นประโยค เช่น:-
-How far is it?
=มันไกลแค่ไหน?
-Only 50 meters.
=50 เมตร เท่านั้น
-How far is your school?
=โรงเรียนของคุณอยู่ไกลแค่ไหน?
-2 kilometers.
=2 กิโลเมตร
-How far is your house from here?
=บ้านของคุณอยู่ไกลจากทีนี้แค่ไหน?
-walk to ten minutes.
=เดินไป 10 นาที.
How long
-How long แปลว่า "ยาวแค่ไหน นานแค่ไหน" ใช้วางไว้หน้าประโยคเมื่อเป็นกิริยาวิเศษณ์ เช่น:-
ตัวอย่างประโยค ที่แปลว่า "ยาวแค่ไหน"
-ถาม:-How long is your ruler?
=ไม้บรรทัดของคุณยาวแค่ไหน?
-ตอบ:-It is 30 centimeters long.
=มัน ยาว 30 เซนติเมตร
-ถาม:-How long is this rope?
=เชือก เส้นนี้ ยาวแค่ไหน?
-ตอบ:-10 meters long.
=ยาว 10 เมตร
-How long is this road?
=ถนน เส้นนี้ ยาวแค่ไหน?
-10 kilometers long. ยาว 10 กิโลเมตร
-How long is the Nile?
=แม่น้ำไนล์ ยาวแค่ไหน?
-About 6,650 kilometers long
=ยาว ประมาณ 6,650 กิโลเมตร
ตัวอย่างประโยคที่แปลว่า "นานแค่ไหน"
-How long does it take to boil eggs?
=ใช้เวลานานแค่ไหนที่จะต้มไข่?
-5 minutes only.
=5 นาที เท่านั้น.
-How long do I have to wait for the next flight?
=ผมต้องรอเที่ยวบินถัดไปนานแค่ไหน?
-About 2 hours.
=ประมาณ 2 ชั่วโมง.
-How long is this ticket valid?
=ตั๋วใบนี้ใช้ได้นานแค่ไหน?
-It is valid for 30 days.
=มันใช้ได้ 30 วัน.
Adverbs 50 คำ
คำกิริยาวิเศษณ์ที่ใช้บ่อยข้าพเจ้านำมาให้ผู้ศึกษาทั้งหลายจำเอาไว้ใช้งาน คือ:-
up แปลว่า ขึ้นไป , อยู่เหนือ , ตรง
so แปลว่า ดังนั้น, มาก
out แปลว่า ออก , ข้างนอก
just แปลว่า เดี๋ยวนี้, เพียงแค่ , เกือบจะ
now แปลว่า เดี๋ยวนี้ , ขณะนี้
how แปลว่า อย่างไร , เพียงใด
then แปลว่า เวลานั้น , ถัดมา
more แปลว่า มากกว่า
also แปลว่า ด้วย ,เช่นเดียวกัน
here แปลว่า ที่นี่
well แปลว่า ดี
only แปลว่า เท่านั้น , แค่
very แปลว่า มาก
even แปลว่า แม้แต่
back แปลว่า กลับ ,ถอยหลัง
there แปลว่า ที่นั่น , ตรงนั้น
down แปลว่า ลง , ข้างล่าง
still แปลว่า ในขณะนี้ , ยังคง
in แปลว่า ใน , ภายใน
as แปลว่า เท่ากับ , ราวกับ
to แปลว่า ไปยัง
when แปลว่า เมื่อไร
never แปลว่า ไม่เคย
really แปลว่า จริง ๆ , มาก
most แปลว่า ที่สุด , มากที่สุด
on แปลว่า ต่อเนื่อง , ติด
about แปลว่า ประมาณ ,เกือบ
over แปลว่า เกิน , ข้าม
again แปลว่า อีกครั้ง
where แปลว่า ที่ไหน
right แปลว่า ขวา , โดยตลอด
off แปลว่า ไกลออกไป , หมด
always แปลว่า เสมอ ,ตลอดเวลา , เป็นประจำ
today แปลว่า วันนี้ ,ทุกวันนี้
all แปลว่า ทั้งหมด
far แปลว่า ไกล ,ห่างไกล
long แปลว่า นาน
away แปลว่า ไป ,ออกห่าง
yet แปลว่า ยัง
often แปลว่า มักจะ , บ่อย ๆ
ever แปลว่า เคย , แต่เดิม
however แปลว่า อย่างไรก็ตาม
almost แปลว่า เกือบจะ
later แปลว่า ต่อจากนั้น
much แปลว่า เยอะ
once แปลว่า ครั้งหนึ่ง ,เคย
least แปลว่า น้อยที่สุด
ago แปลว่า แต่ก่อน
together แปลว่า พร้อมกัน , ร่วมกัน
around แปลว่า รอบข้าง ,ราว
ตำแหน่งการวางกิริยาวิฌศษณ์
ตำแหน่งคำประกอบกิริยา,กิริยาวิเศษณ์และคุณศัพท์
การวางคำประกอบกิริยา
1.คำประกอบกิริยาที่บ่งชี้สถานที่โดยทั่วไปมักจะวางไว้หลังกิริยาและถ้าใน ประโยคนั้นมีกรรมของกิริยาอยู่ด้วยให้วางคำประกอบกิริยานั้นไว้หลังกรรม เช่น:-
-He is at home. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=เขาอยู่ที่บ้าน.
-He does job at home. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เขาทำงานที่บ้าน.
-She is upstairs. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนอยู่ชั้นบน.
-She writes the letter downstairs. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนเขียนจดหมายอยู่ชั้นล่าง.
-She went outside. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=เธอออกไปข้างนอก.
-She went to do job outside. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เธอไปทำงานข้างนอก.
-He walked the post office. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=เขาเดินไปที่สำนักงานไปรษณีย์.
-He walked to send the letter the post office. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เขาเดินไปส่งจดหมายที่สำนักงานไปรษณีย์.
-She moved forward. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนเดินไปข้างหน้า.
-She moved the book forward. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนย้ายหนังสือไปข้างหน้า.
2.คำประกอบกิริยาที่บ่งบอกถึงการกระทำของกิริยามักจะวางไว้หลังคำกิริยาที่มันประกอบเสมอ เช่น:-
-He spoke in a low voice.
= เขาพูดเสียงต่ำ.
-He spoke with an accent.
=หล่อนพูดเน้นเสียง.
-She walks with effort.
=หล่อนเดินไปด้วยความพยายาม.
-She walks like an actor.
=หล่อนเดินเหมือนนักแสดง.
-Udom went by train.
=อุดมไปโดยรถไฟ.
-Udon went by bus.
=อุดรไปโดยรถโดยสาร.
-Utaitip went by car.
=อุทัยทิพย์ไปโดยรถยนต์.
-Usar goes by ship.
=อุสาห์ไปโดยเรือ.
-Utaiwan goes on foot.
=อุทัยวรรณไปด้วยเท้า.
3.คำกิริยาวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย ly (ยกเว้นเพียง 3 คำ คือ nicely, badly, poorly) โดยทั่วไปแล้วจะวางไว้หลังคำกิริยาที่มันขยาย เช่น:-
-She walks slowly.
=หล่อนเดินอย่างช้าๆ.
-Somchai walks quickly.
=สมชัยเดินอย่างรวดเร็ว.
แต่ถ้าคำกิริยาตัวนั้นมีส่วนประกอบเข้ามาขยายมากมักจะวางไว้ข้างหน้าของกิริยาตัวนั้น เช่น:-
-She slowly walked down the street with her son.
=หล่อนเดินลงถนนพร้อมกับบุตรชายอย่างช้าๆ.
-He quickly went home with her wife.
=เขากลับบ้านพร้อมกับภรรยาอย่างรวดเร็ว.
4.คำกิริยวิเศษณ์ที่บ่งบอกถึงการกระทำที่บ่อยครั้งโดยปกติแล้วจะวางไว้หลังคำกิริยาที่มันขยายหรือหลังกรรมถ้ามีกรรม เช่น:-
-She complains continually. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนบ่นอย่างต่อเนื่อง.
-She complains with me continually. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนบนกับผมอย่างต่อเนื่อง.
-She writes often. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนเขียนจดหมายบ่อยๆ.
-She writes to him often. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนเขียนจดหมายถึงเขาบ่อยๆ.
แต่เมื่อต้องการที่จะเน้นข้อความอาจจะวางไว้หน้าคำกิริยาตัวนั้นก็ได้ เช่น:-
-She often writes to him.
=หล่อนมักจะเขียนจดหมายถึงเขา.
-She rarely writes to him.
=หล่อนไม่ค่อยเขียนจดหมายถึงเขา.
-She sometimes writes to him.
=บางครั้งเธอก็เขียนจดหมายถึงเขา.
5.คำกิริยาวิเศษณ์ 5 ตัวเหล่านี้ คือ always usually seldom never ever ส่วนมากจะวางไว้ข้างหน้ากิริยาหลัก เช่น:-
-He always comes on time.
=เขามักจะมาทันเวลา.
-She usually comes to see me in the morning.
=หล่อนมักจะมาพบผมในตอนเช้า.
-She seldom comes here.
=หล่อนไม่ค่อยจะมาที่นี่.
-She never goes to see the cinema.
=หล่อนไม่เคยไปดูหนัง.
-ever (เอฟเวอร์) แปลว่า "เคย" ใช้ได้กับประโยคทั้ง 3 เหล่านี้ คือ:-
1.ประโยคบอกเล่าใช้วางไว้หลังกิริยา เช่น:-
-He is ever faithful.
= เขาเคยซื่อสัตย์.
-ประโยคบอกเล่าใช้วางไว้หน้ากิริยา เช่น:-
-She ever had family pass.
=หล่อนเคยผ่านครอบครัวมาแล้ว.
2.ประโยคปฏิเสธใช้วางไว้หลัง not เช่น:-
-She does not ever come here.
=หล่อนไม่เคยมาที่นี่เลย.
-He does not ever come on time.
=เขาไม่เคยมาตรงตามเวลาเลย.
3.ประโยคคำถามใช้วางไว้หน้ากิริยาหลัก เช่น:-
-Does she ever come here?
=หล่อนเคยมาที่นี่หรือ?
-Does not she ever come here?
=หล่อนไม่เคยมาที่นี่หรือ?
6.คำกิริยาวิเศษณ์ที่เป็นคำๆเดียวที่บ่งบอกถึงการกระทำหรือความเป็นอยู่ บ่อยๆ ถ้าประกอบกิริยาที่เป็น verb to be ต้องวางไว้หลัง verb to be เสมอ เช่น:-
-She is often to go late to work.
=หล่อนมักไปทำงานสาย.
-Wanwadee is rarely to go there.
=วันวดีไม่คอยไปที่นั้น.
-He is repeatedly to go late to work.
=เขาไปทำงานสายซ้ำแล้วซ้ำเล่า.
-Wanchai is seldom to like to do that job.
=วันชัยไม่ค่อยชอบที่จะทำงานนั้น.
-Olivier is never to come at Thailand.
=โอลิเวียยังไม่เคยมาที่ประเทศไทย.
7.กลุ่มคำที่ใช้ประกอบกิริยาที่บ่งบอกถึงการกระทำของกิริยานั้นบ่อยๆมักจะ วางไว้หลังคำกิริยานั้น แต่ถ้ากิริยานั้นมีกรรมให้วางไว้หลังกรรมนั้น คือ:-
-every day =ทุกวัน
-off and on =ปิดและเปิด
-now and then =ตอนนี้และหลังจากนั้น
-once in a while =หนึ่งครั้งในชั่วขณะ
-twice in a day =สองครั้งในหนึ่งวัน
-several times a month =หลายครั้งต่อเดือน
-once a year =หนึ่งครั้งต่อหนึ่งปี
เช่น:-
-She is here every day. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนอยู่ที่นี่ทุกวัน.
-She makes her homework every day. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เธอทำการบ้านทุกวัน.
-She teaches twice a day. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนสอนวันละสองครั้ง.
-She teaches pupils twice a day. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนสอนนักเรียนสองครั้งต่อวัน.
-He goes to see movie several times a month.
=เขาไปดูหนังหลายครั้งต่อเดือน.
-She goes to visit her house once a year.
=หล่อนไปเยี่ยมบ้านปีละหนึ่งครั้ง.
8.คำประกอบกิริยาที่บ่งบอกถึงเวลาที่ชัดเจนมักจะวางไว้หลังคำกิริยานั้น แต่ถ้ากิริยาตัวนั้นมีกรรมต้องาวงไว้ลังกรรม คือ:-
-today
-tonight
-yesterday
-tomorrow
-เช่น:-
-I go to shop food today. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=ฉันไปที่ร้านอาหารวันนี้.
-I go to buy food today. (ประโยคนี้มีกรรม)
=ฉันไปซื้ออาหารในวันนี้.
-I went to a night club tonight. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=ผมไปเที่ยวไนท์คลับคืนนี้.
-He does job at home tonight. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เขาทำงานที่บ้านคืนนี้.
-She went home yesterday. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนกลับบ้านเมื่อวานนี้.
-She bought fruints yesterday. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนซื้อผลไม้เมื่อวานนี้.
-We will go to tour Bangsan tomorrow. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=พวกเราจะไปเที่ยวบางแสนวันพรุ่งนี้.
-We will have breakfast at Bangsan tomorrow.
=พวกเราจะรับประทานอาหารเช้าที่บางแสนในวันพรุ่งนี้.
9.กลุ่มคำประกอบกิริยาบางคำที่ใช้วางไว้หลังกิริยาแต่ถ้าประโยคไหนมีกรรมให้วางไว้หลังกรรม คือ:-
-this morning = เช้านี้
-last week = สัปดาห์สุดท้าย
-next week = สัปดาห์ถัดไป
-a week ago = สัปดาห์ที่ผ่านมา
-during the summer = ในช่วงฤดูร้อน
-for a month = เป็นเวลาหนึ่งเดือน
-at once = ในครั้งเดียว
-เช่น:-
-Anuchin will go Grungtep next week. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=อนุชินจะไปกรุงเทพสัปดาห์หน้า.
-Anurag will start to do job next week. (ประโยคนี้มีกรรม)
=อนุรักษ์จะเริ่มทำงานในสัปดาห์หน้า.
-I left her for a month. (ประโยคนี้มีกรรม)
=ผมจากเธอมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว.
-She learns special during the summer. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=เธอเรียนพิเศษในช่วงฤดูร้อน.
-I punished her only once. (ประโยคนี้มีกรรม)
=ผมลงโทษเธอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น.
10.คำกิริยาวิเศษณ์ที่เป็นคำเดี่ยวางไว้หลังกิริยาหรือหลังกกรรมก็ได้ หรืออาจจะวางไว้ข้างหน้ากิริยาแท้ก็ได้คือ
-now = เดี๋ยวนี้, ขณะนี้
-soon = ในไม่ช้า, เร็ว, ทันที, รวดเร็ว
-recently = เมื่อเร็วๆนี้, สดๆร้อนๆ
-immediatly = ทันที, กะทันหัน, ปุ๊บปัั๊บ
-วางไว้หลังกิริยาแท้ เช่น:-
-I am here now. (ประโยคนี้วางไว้หลัง adverb)
=ฉันอยู่ที่นี่ตอนนี้.
-I eat rice now. (ประโยคนี้วางไว้หลังกรรม)
=ฉันกินข้าวตอนนี้.
-You have to go home soon. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=คุณจะต้องกลับบ้านเร็วๆนี้.
-You have to do this job soon. (ประโยคนี้มีกรรม)
=คุณจะต้องทำงานนี้เร็วๆ.
-She works recently completed. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=หล่อนทำงานเสร็จเมื่อเร็วๆนี้.
-She does homework completed recently. (ประโยคนี้มีกรรม)
=หล่อนทำการบ้านเสร็จเมื่อเร็วๆนี้.
-He has to go out here immediatly.
=เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ทันที.
- She immediatly goes home when her work quit. (วางไว้หน้ากิริยาหลัก)
=หล่อนกลับบ้านทันทีเมื่องานเลิก.
11.คำกิริยาวิเศษณ์ 3 ตัวนี้คือ yet, lately, before โดยทั่วไปแล้ววางไว้หลังกิริยาหลัก แต่บางครั้งอาจจะวางไว้หน้ากิริยาหลักก็ได้ เช่น:-
-She is yet here.
=หล่อนยังอยูที่นี่.
-She quits work lately.
=หล่อนเลิกงานหลังสุด.
-She go home before friend.
=หล่อนกลับบ้านก่อนเพื่อน.
-Before go home, she works remaining to complete.
=ก่อนกลับบ้าน,หล่อนทำงานที่เหลืออยู่ให้เสร็จสมบูรณ์.
-He before will drink, he has to say too.
=เขาก่อนจะดื่ม, เขาจะต้องพูดมากเกินไป.
12.คำกิริยาวิเศษณ์ 2 คือ already และ finally ส่วนมากจะวางไว้ข้างหน้ากิริยาหลัก แต่บางครั้งอาจจะวางไว้ข้างหลังกิริยาก็ได้ เช่น:-
-เรียงไว้ข้างหน้า เช่น:-
-He already mad his homework.
=เขาทำการบ้านเรียบร้อยแล้ว.
-already (ออลเรดดี้) แปลว่า "เรียบร้อยแล้ว, แล้ว"
-finally (ไฟนัลลี่) แปลว่า "ในที่สุด, ในบั้นปลาย, จนได้"
-I have finally seem her.
=ผมได้พบเธอในที่สุด.
-I prepared food already.
=ฉันเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว.
-She see me finally.
=หล่อนพบผมในที่สุด.
**หมายเหตุ:-
-already และ finally ใช้กับประโยคบอกเล่า ส่วน yet ใช้กับประโยคปฏิเสธ เช่น:-
-I haven't seen her yet.
=ผมยังไม่พบหล่อนเลย.
-I have finally seen her.
=ในที่สุดผมก็ได้พบหล่อน.
-I have already seen her.
=ผมได้พบหล่อนเรียบร้อยแล้ว.
-already และ yet ใช้กับประโยคคำถาม และ ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:-
-Have you seen her already?
=คุณได้พบหล่อนแล้วหรือ?
-Have you seen her yet?
=คุณได้พบหล่อนหรือยัง?
13.คำกิริยาวิเศษณ์คือ still มีหน้าที่ 3 อย่างในประโยค คือ
13.1 เรียงไว้ข้างหน้าของกิริยาหลัก เช่น:-
-He still works here.
=เขายังทำงานอยู่ที่นี่.
13.2 ในประโยคปฏิเสธต้องเรียงไว้ข้างหน้ากิริยาช่วย เช่น:-
-He still does not make it.
=เขายังคงไม่ทำมัน.
13.3 ใช้วางไว้ข้างหลัง verb to be เช่น:-
-She is still here.
=หล่อนยังคงอยู่ที่นี่.
14.คำกิริยาวิเศษณ์หลายตัวที่นำมาขยายกิริยาหลักตัวเดียวกันให้เรียงคำ กิริยาวิเศษณ์เหล่านี้ไว้หลังกิริยาหลัก แต่ถ้าในประโยคใดมีกรรมให้เรียงกิริยาวิเศษณ์เหล่านี้ไว้หลังกรรมตามลำดับ ก่อนหลัง ดังนี้
14.1 กิริยาหลัก
14.2 สถานที่
14.3 อาการกิริยา
14.4ความบ่อย
14.5 เวลา
-He has traveled to Japan by airplane twice last month.
=เขาได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นโดยเครื่องบินสองครั้งเดือนที่แล้ว.
-We make job in this office five times on a week.
=พวกเราทำงานในสำนักงานนี้ห้าครั้งในหนึ่งสัปดาห์.
-They go to school by bus six times a week.
=พวกเขาไปโรงเรียนโดยรถบัสหกครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์.
15.คำกิริยาวิเศษณ์ 3 ตัว คือ very, too, much สามารถขยายได้ทั้งคุณศัพท์และกิริยาวิเศษณ์โดยการวางไว้ข้างหน้าคุณศัพท์ หรือกิริยาวิเศษณ์นั้นเสมอ เช่น:-
-very ใช้ขยายคำคุณศัพท์ เช่น:-
-This coffee of cup is very hot.
=กาแฟถ้วยนี้ร้อนมาก.
-very ใช้ขยายคำกิริยาวิเศษณ์ เช่น:-
-He drives very fast.
=เขาขับรถเร็วมาก.
-too ใช้ขยายคำคุณศัพท์ เช่น:-
-You talk too slow.
=คุณพูดช้าเกินไป.
-too ใช้ขยายคำกิริยาวิเศษณ์ เช่น:-
-You speak too fast.
=คุณพูดเร็วเกินไป.
-much ใช้ขยายคำคุณศัพท์ เช่น:-
-She is much beautiful.
=หล่อนเป็นคนสวยมาก.
-much ใช้ขยายคำกิริยาวิเศษณ์ เช่น:-
-Train runs much quick.
=รถไฟวิ่งรวดเร็วมาก.
-คำกิริยาวิเศษณ์ทั้ง 3 ตัวนี้ยังใช้กับคำคุณศัพท์ที่ไม่บ่งชัดคือ much many little few เพื่อต้องการจะชี้ชัดลงไปว่ามีจำนวนมากหรือน้อย เช่น:-
-much (มัช) แปลว่า "มาก" คือไม่ทราบว่ามีมากเท่าใดไม่บ่งชัด ใช้กับนามนับไม่ได้
-many (เมนี่) แปลว่า "มาก" คือไม่ทราบว่ามีมากเท่าใดไม่บ่งชัด ใช้กับนามนับได้
-little (ลิทเทิล) แปลว่า "เล็กน้อย" คือไม่ทราบว่ามีน้อยเท่าไหร่ไม่บ่งชัด ใช้กับนามนับไม่ได้
-few (ฟิว) แปลว่า "เล็กน้อย" คือไม่ทราบว่ามีน้อยเท่าไหร่ไม่บ่งชัด ใช้กับนามนับได้
เช่น:- I don't have very much money.
=ฉันมีเงินไม่มาก.
-She has too many friends in these ages.
=หล่อนมีเพื่อนมากเกินไปในวัยนี้.
-There is too little water in this bottle.
=มีน้ำน้อยเกินไปในขวดนี้.
-There are too few pupils in this school.
=มีนักเรียนน้อยเกินไปในโรงเรียนนี้.
16.enough คำกิริยาวิเศษณ์ตัวนี้เรียงไว้หลังคำคุณศัพท์และคำกิริยาที่มันขยาย เช่น:-
-I had enough much money.
=ฉันมีเงินมากพอแล้ว.
-Have you got enough money?
=คุณมีเงินเพียงพอหรือ?
-She is old enough to know that this thing is good or bad.
=หล่อนโตพอที่จะรู้ว่าสิ่งนี้ดีหรือชั่ว.
-In this room, there were enough people.
=ในห้องนี้มีคนพอแล้ว.
17.คำกิริยาวิเศษณ์ 4 ตัวเหล่านี้คือ:-
1.very much =เป็นอย่างมาก
2.very little =น้อยมาก
3.too much =มากเกินไป
4.enough =เพียงพอ, พอเพียง
อาจจะใช้ขยายกิริยาโดยการเรียงไว้หลังคำกิริยาหรือหลังกรรมในประโยคที่มีกรรม เช่น:-
-I am very much. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=ฉันขอขอบคุณมาก.
-She eats food very much. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เธอกินอาหารเป็นอย่างมาก.
-He says very little. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=เขาพูดน้อยมาก.
-He makes badness very little. (ประโยคนี้มีกรรม)
=เขาทำความชั่วน้อยมาก.
-We excercise too much. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=พวกเราออกกำลังกายมากเกินไป.
-We have too much money make themselves trouble. (ประโยคนี้มีกรรม)
=พวกเรามีเงินมากเกินไปจนทำให้ตนเองเดือดร้อน.
-I had enough happiness. (ประโยคนี้มีกรรม)
=ฉันมีความสุขเพียงพอแล้ว.
-You don't relax enough. (ประโยคนี้ไม่มีกรรม)
=คุณยังผ่อนคลายไม่เพียงพอ.
18.คำกิริยาวิเศษณ์ 7 ตัวเหล่านี้ คือ:-
1.almost (ออลโมสทฺ) แปลว่า "เกือบ"
2.nearly (เนียรลิ) แปลว่า "เกือบจะ"
3.partly (พาร์ทลี่) แปลว่า "เป็นบางส่วน"
4.simply (ซิมพลี่) แปลว่า "ง่ายดาย"
5.merely (เมียร์ลี่) แปลว่า "แค่, เท่านั้น, ง่ายๆ"
6.scarcely (สะแคร์ซฺลี่) แปลว่า "แทบจะไม่, เกือบจะไม่"
7.hardly (ฮาร์ดลี่) แปลว่า "แทบจะไม่, ไม่น่า, ไม่ค่อยจะ, ค่อย
-คำกิริยาวิฌศษณ์ 7 ตัวเหล่านี้ ต้องวางไว้ข้างหน้าคุณศัพท์, กิริยาวิเศษณ์, และกิริยาที่มันขยาย เช่น:-
-วางไว้ข้างหน้าคุณศัพท์ เช่น:-
-We have almost ready completed.
=พวกเรามีความพร้อมเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว.
-We are nearly comfortable.
=พวกเราเกือบสบาย.
-วางไว้หน้ากิริยาวิเศษณ์ เช่น:-
-You are nearly there was money.
=พวกคุณเกือบจะมีเงินแล้ว.
-You are simply here.
=คุณอยู่ที่นี่อย่างง่ายๆ.
-วางไว้ข้างหน้ากิริยาที่มันขยาย เช่น:-
-He partly finished his work.
=เขาทำงานสำเร็จเป็นบางส่วน.
-He can scarcely walk.
=เขาแทบจะเดินไม่ได้.
19.clause (คลอส) คืออนุประโยค ที่นำมาใช้ขยายคำกิริยานั้นโดยปกติแล้วจะวางไว้หลังประโยคหลักโดยมีคำสันธาน คือ when where why what wherever while untill since before after because เป็นตัวเชื่อม เช่น:-
When
-She telephoned me when she has received message from me.
=หล่อนโทรศัพท์ถึงผมเมื่อหล่อนได้รับข่าวจากผม.
-She telephoned me. เป็นประโยคหลักคือ Main Clause
-when she has received message from me. เป็นอนุประโยคขยายกิริยาคือ telephoned วางไว้หลังกรรมเมื่อประโยคนั้นมีกรรม
Where
-I will put mark where everyone can see it.
=ผมจะใส่เครื่องหมายไว้ตรงที่ทุกคนสามารถเห็นมันได้.
-I will put mark. ประโยคนี้เป็นประโยคหลักคือ Main Clause
-where everyone can see it. ประโยคนี้เป็นอนุประโยคคือ Clause ทำหน้าที่เป็น adverb clause เป็นอนุประโยคใช้ขยายกิริยาคือ put
Why
-I know why he did it.
=ฉันรู้ว่าทำไมเขาจึงทำมัน.
-It's easy to see why she fell in love him.
=มันเป็นเรื่องง่ายเพื่อจะดูว่าทำไมหล่อนจึงตกหลุมรักเขา.
what
-Please ask us what we want for dinner.
=กรุณาถามพวกเราถึงสิ่งที่พวกเราต้องการสำหรับอาหารค่ำ.
Wherever
-He will go wherever he can go.
=เขาจะไปทุกแห่งที่เขาสามารถไปได้.
No comments:
Post a Comment