Powered By Blogger

Wednesday, January 25, 2023

เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้าใจง่าย หน้าที่ 12 Vocabulary

          วิธีจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ

     

   สวัสดีนักเรียนและผู้ศึกษาทั้งหลายบัดนี้เราก็มาถึงบทสุดท้ายในการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว  ข้าพเจ้าจะนำเอาวิธีจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาเสนอ การเรียนภาษาอังกฤษคำศัพท์นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในการเรียน ถ้าท่านไม่รู้คำศัพท์แล้วท่านจะไปเรียนไวยกรณ์อังกฤษส่วนอื่น เช่น  part of speech คือส่วนแห่งคำพูด    sentence คือประโยค     tense คือกาล  ไม่ได้เลยเพราะ ส่วนแห่งคำพูด, ประโยค, และกาล ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากคำศัพท์ทั้งสิ้น  ถ้าท่านจำคำศัพท์และความหมายของมันไม่ได้ท่านก็จะอ่าน, พูด, ฟัง, และเขียน ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย  คนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็เพราะเขาจำคำศัพท์ไม่ได้  เวลาไปเจอฝรั่งๆถามก็ไม่รู้เรื่องเพราะไม่รู้ว่าเขาถามอะไร  ถ้าฟังรู้เรื่องแต่ถ้าจำคำศัพท์ไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร  เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูดได้เต็มปากว่า "คำศัพท์เป็นหัวใจสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ"  คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษเพราะคนไทยจำคำศัพท์ได้น้อยหรือไม่ได้เลย ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบปริญญาตรีแต่มีความกลัวภาษาอังกฤษมากคือตำราที่เป็นภาษาอังกฤษเขาจะไม่ดูและแตะต้องมันเลย  ข้าพเจ้าเคยถามเขาเกี่ยวกับพยัญชนะในภาษาอังกฤษ 26 ตัว ว่ามีอะไรบ้างเขาก็ตอบไม่ได้ นี้แหละคือจุดอ่อนของคนไทย  ข้าพเจ้าเคยสังเกตเกี่ยวกับตนเอง

   ถ้าตอนไหนเราจำคำศัพท์ได้มากๆเมื่อเจอฝรั่งแล้วเราไม่รู้สึกกลัวฝรั่งเลยมีความกล้าและมีความมั่นใจในการที่จะพูดคุยกับฝรั่ง  นี้แหละครับถ้าเรามีความรู้ก็จะทำให้เราเกิดความกล้าหาญขึ้นมาทันที  ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะได้นำเอาเทคนิคการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาเสนอแก่ท่านทั้งหลายดังนี้

   -วิธีจำคำศัพท์แบ่งออกเป็น  2  ชนิด คือ:-

        1.วิธีจำคำศัพท์แบบท่องจำ

        2.วิธีจำคำศัพท์แบบไม่ท่องจำ

          วิธีจำคำศัพท์แบบท่องจำ     

   -วิธีจำคำศัพท์แบบท่องจำที่มีประสิทธิภาพให้เตรียมเครืองอุปกรณ์ดังนี้ คือ:-

         1.สมุด

         2.ปากกา

         3.คอมพิวเตอร์,แท็บเล็ต,หรือโทรศัพท์

         4.เว็บไซต์เกี่ยวกับคำศัพท์และการออกเสียง       

เช่น:-

               เว็บไซต์คำศัพท์ 2000 คำ จาก Cambridge

                http://cambridgedict.blogspot.com/2012/01/2000.html

               บทสนทนาง่ายๆ 1000 คำศัพท์

               http://www.englishbychris.com/portfolio-items/1000/

              https://www.youtube.com/watch?v=peQXBbutUok

                    เว็บไซต์คำศัพท์ 3000 คำ จาก Oxford

               http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/wordlist/english/oxford3000/

                   เว็บไซต์ท่องคำศัพท์ 5000 คำ

               https://www.youtube.com/watch?v=INL8imW1UKQ

                   เว็บไซต์คำศัพท์ทั่วไป

              https://www.youtube.com/watch?v=f2ASArqzbGg

              https://www.youtube.com/watch?v=ugBiW7hINXA

              https://www.youtube.com/watch?v=xxLsSYIWhxU

              https://www.youtube.com/watch?v=hegy93C99N0

                 เว็บไซต์แปลคำศัพท์และการออกเสียง

                  https://translate.google.co.th/

                 https://siamcity.net/translate/

                 https://www.sanook.com/dictionary/

                 https://th.forvo.com/languages/en/

   ผมขอแนะนำให้ทุุกคนรู้จักกับ'Oxford 3000 key words' ครับ  คือ คำศัพย์ 3000 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษหรือพูดง่ายๆก็คือคำศัพท์ 70% ที่ใช้อยู่ทุกวันก็มาจาก 3000 คำนี้แหละครับ หลายคนอาจจะบอกว่า 'เยอะจังตั้ง 3000 แหน่ะ' เยอะ แต่ทุกคำเราได้ใช้แน่นอนครับ สู้ไว้ครับเรามาเริ่มกันเลยครับอันดับแรกเข้าไปที่ ลิ้งค์แรกที่ผมให้ เลื่อนมาข้างล่างสักนิดหนึ่ง เราจะเจอคำศัพท์เรียงกันยาวตามลำดับตัวอักษร(A-Z)ครับ ไม่ต้องกดเข้าไปนะครับ เพราะเราสนใจแค่คำศัพท์และวิธีออกเสียงพอ ถ้ากดเข้าไปเขาจะอธิบายความหมายไว้ในภาษาอังกฤษ หรือพูดง่ายๆคือแปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกทีครับ แต่ถ้าใครจะเข้าไปดูก็ไม่เป็นไรนะครับ ที่นี้วิธีท่องคำศัพท์ของเราก็คือท่องอักษรละ 2 คำต่อวันครับ เอ๊ะ หลายคนอาจจะงง อักษรละ 2 คำต่อวันยังไงหว่า ก็คือวันนี้ให้เราท่องคำศัพท์ให้หมวด A-Z อย่างละสองคำก็จะตกอยู่วันละ 52 คำครับ อาจจะฟังดูเยอะนะ วันละตั้ง 52 ครับ แต่ที่จริงแล้วผมว่ามันก็ไม่เยอะเท่าไหร่นะ แบ่งเวลาท่องออกเป็น 3 ช่วง เช้าท่อง  15 คำ   เที่ยง 15 คำ   เย็น 15 คำ   ที่เหลือก็ก่อนนอน

  ถ้าใครฝืนตัวเองให้ทำจนเป็นนิสัยได้นะ ผมบอกเลยว่าคุณจะพัฒนาเยอะมากครับ แต่ถ้าใครไม่ไหวจริงๆก็ให้ลดมาเหลือ อักษรละ 1 คำต่อวันก็ได้ครับแล้วให้เราจดคำศัพท์ที่เราท่องแต่ละวันลงในสมุดนะครับ จดแค่ภาษาอังกฤษนะครับ คำแปลภาษาไทยไม่ต้องจดก็อย่างที่เคยอธิบายไปในบทความที่แล้วครับ (ลองไปหาอ่านดูตอนที่ 1)  การที่เราไม่จดภาษาไทยไปเนี่ย จะเหมือนเป็นการบังคับให้เราใช้สมองเพื่อจดจำและเมื่อผ่านไป 2-3 วัน เรากลับมาอ่านจะได้ให้สมองใช้เวลานึกคำศัพท์ที่เราแปลความหมายไม่ได้ วิธีนี้แหละครับจะทำให้เราจำศัพท์ได้เร็วมากแล้วไม่ใช้แค่จดอย่างเดียวนะครับ ให้ฟังด้วยจะเห็นว่ามีปุ่มให้กดอยู่ 2 ปุ่ม สีน้ำเงิน กับสีแดง ปุ่ม 2 ปุ่มนี้คือเสียงเจ้าของภาษาพูดคำศัพท์ครับ สีน้ำเงิน คือ สำเนียงอังกฤษ (ฺBritish English)  สีแดง คือ สำเนียงอเมริกัน (American English)  ให้เราเลือกฝึกพูดตาม 1 สำเนียงนะครับ ตามใจชอบเลย ให้ลองอัดเสียงดูว่า เวลาเราพูดตามสำเนียงไหน เสียงเราฟังดูเหมือนมากกว่า หากเสียงเราไปทางสำเนียงอังกฤษ ก็ให้ฝึกพูดตามสำเนียงอังกฤษนะครับ แต่ถ้าไปอีกสำเนียงก็ฝึกตามสำเนียงนั้นต้องฝึกพูดตามและฟังให้ออกด้วยนะครับ เพื่อครั้งหน้าเราได้ยินหรือได้ใช้ จะได้รู้ว่าต้องออกเสียงยังไงให้ฝรั่งเข้าใจเอ่อ อย่าลืมแปลความหมายคำศัพท์ด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพูดได้สำเนียงเป๊ะ แต่ไม่รู้ความหมายก็ไม่ไหวนะครับ                          

                 วิธีจำคำศัพท์แบบไม่ท่องจำ

     วิธีจำคำศัพท์แบบไม่ต้องท่องจำ  วิธีนี้เป็นวิธีที่ข้าพเจ้าผู้เขียนตำราเล่มนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องท่องจำเมื่อตอนวัยเด็กข้าพเจ้าเรียนภาษาอังกฤษในชั้น ม.5 ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่า "ทองสุข"  เพื่อนคนนี้เขาเก่งในวิชาภาษาอังกฤษมาก ปรากฏว่าเขาจะได้คะแนนมากกว่าทุกๆคนที่อยู่ในชั้น ม.5 ข้าพเจ้าถามเขาว่าทำไมคุณถึงจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้มากกว่าครู  เขาบอกว่าเขาได้ซื้อดิคชั่นนะรี่มาเล่มหนึ่งแล้วก็ฉีกดิคชั่นนะรี่นั้นวันละ 1 แผ่น ดิคชั่นนะรี่ที่ฉีกออกมานั้นเขาจะท่องคำศัพท์ที่มีในแผ่นนั้นให้จำได้หมด เขาใช้เวลาท่องอยู่ 2 ปี เขาก็จำได้หมด  เพราะฉะนั้นเขาจึงจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้มากกว่าครู  พอเรียนจบ ม.6 ต่างคนก็ต่างไปตามเส้นทางแห่งความปราถนาของตนเอง  อีก 10 ปี  ต่อมาข้าพเจ้าได้พบเขาที่วัดพระธาตุพนม ข้าพเจ้าเลยถามเขาว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่จำได้ในสมัยเรียน ม.5 -ม.6 นั้น  ตอนนี้ยังจำได้เหมือนเดิมหรือเปล่า  เขาบอกว่ามันเข้ากลีบเมฆไปหมดแล้วคือลืมไปหมดแล้วเหลือบ้างนิดหน่อยตั้งแต่เรียนจบแล้วก็ไม่ได้ทวบทวนมันก็เลยลืมหมดข้าพเจ้าจึงมาได้ข้อสรูปว่าการเรียนคำศัพท์โดยวิธีการท่องจำนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง  เพราะเหตุนี้จึงทำให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีจำคำศัพท์แบบไม่ต้องท่องจำ  เมื่อข้าพเจ้าได้มาเรียนต่อที่อินเตอร์เนทยูนิเวอร์ซิตี้ข้าพเจ้าคิดค้นวิธีนี้ขึ้นมาได้  วิธีการมีดังนี้

   หลักการจำคำศัพท์แบบไม่ต้องท่องจำมี 7 ข้อ  

    1.ต้องจำตัวพยัญชนะ 26 ตัว และตัวสระ 5 ตัวให้ได้

    2.ให้หาศัพท์เกี่ยวกับตัวเราและสิ่งใกล้ตัวเราขึ้นมาทีละคำ เช่น เรามองเห็นอากาศที่ว่างเปล่ารอบๆตัวเรา คำว่า "อากาศ"  ในภาษาอังกฤษเรียกว่า "air"   เมื่อได้คำศัพท์คือ air มาแล้ว โปรดสังเกตและจำไว้ให้ดีว่าคำว่า air นั้น ตัว a อยู่หน้าตัว i  ให้จำแค่นี้ท่านก็จะเขียนและจดจำคำศัพท์ได้ถูกต้องไปตลอดชีวิตโดยไมต้องท่องจำเลย  คำศัพท์คำเดียวคือ air  เราสามารถทำให้มันขยายคำศัพท์ออกไปอีก 6 คำ คือ:-

        1.เมื่อนำคำว่า "air"  ไปต่อท้าย  ch   ก็จะได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมาใหม่ว่า "chair"   แชร์  แปลว่า "เก้าอี้"

        2.เมื่อเอา air  ไปต่อท้าย d  แล้วก็เติม  y  ข้างหลัง  r   ก็จะเกิดคำศัพท์ใหม่ขึ้นมาว่า "dairy"   แดรี่  แปลว่า "โรงรีดนม, ร้านขายนม,ฟาร์มนม"

        3.เมื่อเอา air ไปต่อท้าย f  ก็จะเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ว่า fair   แฟร์  แปลว่า "ยุติธรรม, ถูกต้อง, ซื่อสัตย์"

        4.เมื่อเอา air  ต่อท้าย  h  ก็จะเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ว่า "hair"   แฮร์     แปลว่า "ผม"

        5.เมื่อเอา  air   ไปต่อท้าย   L    ก็จะได้คำศัพท์ใหม่ว่า "Lair"    แลร์    แปลว่า "ที่ซ่อน, รังสัตว์, ถ้ำสัตว์"

        6.เมื่อเอา  air    ไปต่อท้าย   p    ก็จะได้คำศัพท์ว่า "pair"     แพร์     แปลว่า "คู่"

          -เมื่อเอา   air    ไปต่อท้าย   พยัญชนะ   26  ตัวก็จะได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมาใหม่อีก  6  ตัวคือ:-

               1.chair             =เก้าอี้

               2.dairy            =โรงรีดนม

               3.fair                =ยุติธรรม

               4.hair              =ผม

               5.lair               =ถ้ำสัตว์

               6.pair              =คู่

           7.คำศัพท์ที่เกิดจาก air อีก  8  คำคือ:-

                   -repair (รีแพร์)             =ซ่อมแซม

                   -airplane (แอร์เพลน)    =เครื่องบืน

                   -airport (แอร์พอร์ท)     =สนามบิน, ท่าอากาศยาน

                   -airsoft (แอร์ซอฟท์)     =ปืนอัดลม

                   -airfield (แอร์ฟิลด์)       =สนามบิน

                   -airship (แอร์ชิพ)         =เรือเหาะ, เครื่องบิน

                   -airbus (แอร์บัส)           =รถปรับอากาศ

                   -airdrom (แอร์โดรม)    =สนามบิน

        คำศัพท์ทั้ง 6 คำเหล่านี้ล้วนเกิดมาจาก  air  ทั้งสิ้น ถ้าท่านเขียน air  ถูกท่านก็จะเขียนคำเหล่านี้ได้ถูกต้องโดยไม่ต้องท่องจำ

       3.สังเกตการเขียนคำศัพท์ให้ถูกก็เป็นการจำที่ดีอีกชนิดหนึ่ง     เช่น:-

             -beautiful    =สวยงาม

           -หลักในการอ่านเช่น   beau - ti - ful       ให้แยกออกมาอ่านอย่างนี้จะทำให้เราจำคำศัพท์นี้ได้อย่างไม่ลืมเลย

           -friend    =เพื่อน

             -อ่านเป็น   fri -end   

           -Thairath     =ไทยรัฐ

            -อ่านเป็น   Thai - rath

           -afraid      =กลัว

             -อ่านเป็น    af - raid

           -greensward    =สนามหญ้า

             -อ่านเป็น    green - sward

          -ถ้าเราเอาคำศัพท์คือ our ที่แปลว่า "ของพวกเรา" ที่เป็นคำ Possessive adjective คือสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ มาใช้ผสมกับคำนามตัวอื่นก็จะเกิดเป็นคำศัพท์อื่นได้ดังนี้เช่น:-

              -four     =4

             -อ่านเป็น    f  -  our

           -tour    =การท่องเที่ยว

             -อ่านเป็น     t - our

           -hour    =ชั่วโมง

             -อ่านเป็น   h - our

  คำศัพท์ทั้ง 3 เหล่านี้เกิดมาจากคำว่า "our" ผสมกับอักษรตัวอื่น จงจำวิธีนี้ให้ดี 

           -their    =ของพวกเขา

             -อ่านเป็น    the - ir

           -frequency (ฟริเควนซี่)    =ความถี่

             -อ่านเป็น    fre - quen - cy

      ให้คิดหาคำศัพท์ที่มักเขียนผิดแยกอ่านแบบนี้จะทำให้เราจำคำศัพท์นั้นอย่างไม่ลืมเลย

      4.การเพิ่มคำศัพท์จากตัวเราและสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว

                   การเพิ่มคำศัพท์จากตัวเรา

              -ตัวอย่างการเพิ่มคำศัพท์จากตัวเราโดยมีหลักในการเพิ่มดังนี้

                 1.ให้นึกจากร่างกายโดยเริ่มตั้งแต่บนมาหาล่าง   เช่น:-

                     -ร่างกาย          คำศัพท์ก็คือ       body (บอดี้)

                     -ผม                   ,,        ,,           hair (แฮร์)

                     -ศีรษะ               ,,        ,,           head (เฮด)

                     -ใบหน้า             ,,        ,,           face (เฟค)

                     -หู                     ,,        ,,           ear (เอีย)

                     -คิ้ว                   ,,        ,,           eyebrow (อายโบร)

                     -ตา                   ,,        ,,           eye (อาย)

                     -จมูก                ,,         ,,           nose (โนส)

                     -ริมฝีปาก          ,,        ,,            labia (เลเบีย)

                     -ปาก                 ,,        ,,           mouth (เมาธ์)

                     -แก้ม                ,,        ,,            cheek (ชีค)

                     -คาง                 ,,        ,,            chin (ชิน)

                     -คอ                   ,,       ,,            neck (เนคค์)

                     -ไหล่                 ,,       ,,            shoulder (โซนเดอะ)

                     -แขน                 ,,       ,,            arm (อาร์ม)

                     -มือ                   ,,       ,,            hand (แฮนดฺ)

                     -ฝ่ามือ               ,,       ,,            palm (พาล์ม)

                     -นิ้วมือ               ,,       ,,            finger (ฟินเกอร์)

                     -ขา                   ,,       ,,            leg (เลก)

                     -หัวเข่า              ,,       ,,            knee (นี)

                     -แข้ง                 ,,       ,,            shin (ชิน)

                     -เท้า                  ,,       ,,            foot (ฟูท)

                     -นิ้วเท้า              ,,       ,,            toe (โท)

                     -ฝ่าเท้า              ,,       ,,            foot sole (ฟูท โซล)

                อย่าลืมจงสังเกตดูการเขียนของคำศัพท์เหล่านี้ด้วยเวลาเขียนจดหมายหรือเรียงความจะได้ไม่เขียนผิด

                 การเพิ่มคำศัพท์จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา

       การเพิ่มคำศัพท์จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา  มีหลักในการเพิ่มดังนี้ให้นึกถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดก่อนแล้วจึงห่างออกไปเรื่อยๆ เช่นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดคือ:-

             -เสื้อผ้า                     ภาษาอังกฤษคือ   clothes (คลอธสฺ)

             -เสื้อ                            ,,            ,,        shirts (เชิร์ทซฺ)

             -กางเกง                      ,,            ,,        pants (แพนท์ซฺ)

             -กระโปร่ง                    ,,            ,,        skirt (สเคิร์ท)

             -เนคไท                       ,,            ,,        necktie (เนคไท)  ผ้าพันคอ               

             -ถุงมือ                         ,,            ,,        glove (กลอฟว์)

             -สร้อยคอ                     ,,            ,,       necklace (เนคเลซ)

             -แหวน                         ,,            ,,       ring (ริง)

             -ถุงเท้า                        ,,            ,,       socks (ซอคซฺ)

             -นาฬิกาข้อมือ              ,,            ,,      watch (วอทชฺ)

             -นาฬิกาแขวน              ,,            ,,      clock (คลอค)

             -โทรศัพท์มือถือ            ,,            ,,      cellphone, mobile  เซลโฟน,โมบาย

             -โทรศัพท์บ้าน              ,,            ,,      home phone (โฮม โฟน)

             -โน๊ตบุ๊ค                       ,,            ,,      notebook (โน๊ทบุค)        

             -คอมพิวเตอร์               ,,            ,,      computer (คอมพิวเตอร์)                  

             -โทรทัศน์                     ,,            ,,      TV, television (ทีวี,เทลลิวิซั่น)

             -วิทยุ                           ,,             ,,     radio (เรดิโอ)

             -โต๊ะ                            ,,             ,,     table, desk  (เทเบิล,เดสคฺ)             

             -เตียง                          ,,            ,,       bed (เบด)

             -ตู้                                ,,            ,,      cabinet (แคบิเนท)    

        นี้คือตัวอย่างที่นำมาแสดงให้ดูเท่านั้น และยังมีอีกเป็นจำนวนมากขอให้ผู้ศึกษานึกขึ้นมาลองดูเมื่อได้คำที่เป็นภาษาไทยแล้ว ต่อไปให้ค้นหาคำศัพท์ที่เป็นภาษาอังกฤษเราก็จะได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

         5.การนึกหาคำศัพท์ที่อยู่ไกลตัวให้นึกหาคำที่เป็นภาษาไทยก่อนและจึงค้นหาคำที่เป็นภาษาอังกฤษของมัน       เช่น:-

             -ท้องฟ้า                   ภาษาอังกฤษคือ     sky (สะไค)

             -อากาศ                       ,,            ,,         air (แอร์)

             -เมฆ                            ,,            ,,        clouds (เคลาดซฺ)

             -หมอก                         ,,            ,,        fog (ฟอก)

             -ลมและลมพายุ             ,,            ,,        storm, gale (สทรอม,เกล)

             -ดวงอาทิตย์                 ,,            ,,        sun (ซัน)

             -ดวงจันทร์                   ,,            ,,        moon (มูน)

             -ดวงดาว                      ,,            ,,        star (สะทาร์)

             -นก                              ,,            ,,        birds (เบิร์ดซฺ)

             -เครื่องบิน                    ,,            ,,        plane (แพลน)

             -สนามบิน                     ,,            ,,        airport (แอร์พอร์ท)

             -ท่าอากาศยาน             ,,            ,,        airport

             -ถนน                           ,,            ,,        road (โรด) 

             -รถยนต์                       ,,            ,,        car (คาร์)

             -รถจักรยาน                 ,,            ,,        bicycle (ไบซิเคิล)

             -รถจักรยานยนต์, รถมอเตอร์ไซต์   motorcycle (มอเทอะไซเคิล)                 

         6.ใช้วิธีเปรียบเทียบคำศัพท์แล้วจงสังเกตดูข้อแตกต่างของมัน       เช่น:-

                 -mouth (เมาธ์)    แปลว่า "ปาก"

                -mouse (เมาซฺ)    แปลว่า "หนู"

                -mountain (เมาเทน)    แปลว่า "ภูเขา"

                -house (เฮาซฺ)   แปลว่า "บ้าน"

                -household  (เฮาซฺ'โฮลดฺ)    แปลว่า " สมาชิกในครอบครัว,ครัวเรือน"

                -cousin (เคาซิน)    แปลว่า "ลูกพี่ลูกน้อง"

                -hour (เอาเออร์)    แปลว่า "ชั่วโมง"

          คำสํพท์ทั้ง 7 คำเหล่านี้เกิดขึ้นจากสระสองตัวคือ ou      

            -our   เป็นคำสรรพนาม  บุรุษที่ 2 เอาไปเขียนให้เกิดคำศัพท์ขึ้นมาใหม่อีกดังนี้

                   -hour (เอาเออ)    แปลว่า "ชั่วโมง"    

                   -four (โฟร์)    แปลว่า "4"    

                   -tour (ทัวร์)    แปลว่า "การท่องเที่ยว"    

                   -course (คลอร์ส)    แปลว่า "หลักสูตร"

                   -your (ยัวร์)    แปลว่า "ของคุณ"

          นี้คือวิธีเพิ่มคำศัพท์ขึ้นมาใหม่โดยการนำเอาคำศัพท์คำเดียวเขียนขึ้นมาได้อีกหลายคำขอให้ผู้ศึกษาทั้งหลายโปรดสังเกตดูให้ดีตามวิธีที่ข้าพเจ้าแสดงให้ดูนี้  เมื่อท่านทำได้ดังนี้คำศัพท์ใหม่ๆก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ต้องท่องจำ   

          7.ให้อ่านคำศัพท์ในเว็บไซต์วันละ 2  ครั้งอ่านไปสังเกตไปอ่านช้าๆอย่าไปเร็ว ถ้าคำไหนจำยากก็อ่านดูหลายๆเที่ยว  จงเปิดเว็บไซต์ข้างล่างนี้ขึ้นมาอ่านและฟังสำเนียงการออกเสียงไปด้วย  ให้เปิดขึ้นมาอ่านดูทุกวันอย่าได้ขาดคำศัพท์จะได้ซึมซับเข้าไปในสมองของท่านเอง

              http://cambridgedict.blogspot.com/2012/01/2000.html

       
            
https://www.tonamorn.com/vocabulary/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8

   คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย    

           เรียนภาษาอังกฤษจาก Youtube

     

                 คำศัพท์จาก Youtube

   https://www.youtube.com/watch?v=NMZVfaW-dTc

    https://www.youtube.com/results?search_query=%E0%B8%84%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9+%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86

    เคล็ดลับการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ

  http://www.top-atutor.com/15287999/6-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97

   วิธีจำคำศัพท์ที่ดีที่สุด

  http://www.thairath.co.th/content/324151

     จำแบบไม่ลืม

  https://www.youtube.com/watch?v=FK73MnfvQPU

  วิธีจำคำศัพท์แบบครูโบว์

  https://www.youtube.com/watch?v=rU-X9SEqda0ศัพท์ภา

เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้าใจง่าย หน้าที่ 11 Sentense

                          Sentence

      
                    https://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/sentence-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD/             

                   Sentense

Sentense (เซนเทนซ์)  แปลว่า “ประโยค”  ประโยคในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น  3  ชนิด  คือ:-

    1.Simple  sentence (ซิมเพิล เซนเทนซ์)   แปลว่า “ประโยคธรรมดา”

   2.Compound  sentence (คอมเพานด์  เซนเทนซ์)   แปลว่า “ประโยคผสมกัน”

   3.Complex  sentence (คอมเพลคซ์ เซนเทนซ์)   แปลว่า “ประโยคเชิงซ้อน”

         รูปโครงสร้างของประโยค

    1.ประโยคบอกเล่า

      -ประโยคบอกเล่า  แบ่งออกเป็น 2 ชนิด  คือ:-  

       1.1ประโยคไม่มีกรรมคือ:  subject  +  verb        เช่น:-

              -My  mother  is  kind.

              =แม่ฉันใจดี.

              -Thanisa  lives  in  Grungtep.

             =ธนิสาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ.

              -She  is  a  Thai.

             =หล่อนเป็นคนไทย.

       1.2 ประโยคที่มีกรรมคือ:  subject  +  verb  +  object       เช่น:-

              -He  loves  her.

             =เขารักเธอ.

              -We  learn  English  language  at  the  school.

            =พวกเราเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน.

             -Weeratep  kicks  a  football.

                 =วีรเทพเตะฟุตบอล.

    2.ประโยคปฏิเสธ  แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-

         2.1 ประโยคปฏิเสธแบบไม่มีกรรม คือ: subject  +  verb ช่วย  +  not  +  He verb  ช่องที่ 1       เช่น:-

                   -He  does  not  go  to  school.

                =เขาไม่ไปโรงเรียน.

                  -She  is  not  a  Thai.

               =หล่อนไม่ใช่คนไทย.

                  -We  shall  not  live  here.

               =พวกเราจะไม่อยู่ที่นี่.

         2.2 ประโยคปฏิเสธแบบมีกรรม คือ: subject  +  verb ช่วย  +  not  +  verb ช่องที่ 1  +  object     เช่น:-

                  -He  does  not  love  me.

                =เขาไม่รักฉัน.

                  -We  do  not  like  a  dog.

                =พวกเราไม่ชอบสุนัข.

                  -They  do  not  like  to  learn  a  book.

                =พวกเขาไม่ชอบเรียนหนังสือ.

      3.ประโยคคำถาม   แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ:-

          3.1ประโยคคำถามแบบไม่มีกรรม คือ: verb ช่วย  +  subject  +  verb ช่องที่ 1  +  ?       เช่น:-

                  -Are  you  a  Thai?

               =คุณเป็นคนไทยหรือ?

                 -Do  you  come  from  England ?

               =คุณมาจากประเทศอังกฤษหรือ?

                 -Does  your  elder  sister  go  to  work ?  

                     =พี่สาวของคุณไปทำงานหรือ?

          3.2 ประโยคคำถามแบบมีกรรม คือ: verb ช่วย  +  subject  +  verb ช่องที่ 1  +  object  +  ?       เช่น:-

                  -Do  you  like  to  eat  a  mango?

                =คุณชอบกินมะม่วงไหม?

                 -Does  she  love  him ?

                =หล่อนรักเขาหรือ?

                 -Do  they  learn  English  every day ?

               =พวกเขาเรียนภาษาอังกฤษทุกวันหรือ?

        3.3 ประโยคคำถามที่นำหน้าด้วย question word คือ: question word  +  verb ช่วย  +  subject  +  verb ช่องที่ 1  +  (กรรมถ้ามีกรรม)     

เช่น:-

            -How  long  do  you  live  in  Thailand ?

              =คุณอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานแค่ไหน ?

            -When  will  she  come  back ? 

              =เมื่อไหร่หล่อนจะกลับมา?

            -What  are  you  doing ?

              =คุณกำลังทำอะไร?

            -Which of those houses do you live in?

              =บรรดาบ้านทั้งหลายเหล่านั้นหลังไหนที่คุณอาศัยอยู่?

            -Which of you want tea and which want lemonade?

              =คุณต้องการชาชนิดไหนและคุณต้องการน้ำมะนาวชนิดไหน?

        **หมายเหตุ:-

          -ประโยคคำถามที่มี  verb to be, verb to have, และ  shall, should, will, would  may, might อยู่แล้วเวลาทำให้เป็นประโยคคำถามไม่ต้องมีกิริยาช่วยเข้ามาช่วยอีกเพราะกิริยาทั้งหลายเหล่านี้เป็นได้ทั้งกิริยาแท้และกิริยาช่วยอยู่ในตัวอยู่แล้ว

    ก่อนจะอธิบายประโยคทั้งสามให้แจ่มแจ้ง  ข้าพเจ้าจะอธิบายเรื่องของโครงสร้างของประโยคเสียก่อน  เมื่อท่านผู้ศึกษาทั้งหลายเข้าใจเรื่องของโครงสร้างของประโยคดีแล้ว  ประโยคทั้ง 3 ที่กล่าวมาแล้วนั้นก็จะเข้าใจได้โดยง่าย   โครงสร้างของประโยคแบ่งออกเป็น 4 ประเภท  คือ:-

    1.ลักษณะโครงสร้างของประโยคการบอกเล่า       เช่น:-

         -Today  I  go  to  school.

          =วันนี้ฉันไปโรงเรียน.

        -Torrow  she  will  go  home.

         =วันพรุ่งนี้หล่อนจะไปบ้าน.

        -I  get  up  6.00  o’clock  in  the  morning  every  day.

         =ผมตื่นนอนเวลา 6 โมงเช้าทุกวัน.

    2.ลักษณะโครงสร้างของประโยคคำถาม       เช่น:-

      -Where  are  you  going?

        =คุณกำลังจะไปไหน?

      -How  old  are  you?

        =คุณอายุเท่าไหร่?

      -What  are  you  doing?   

       =คุณกำลังทำอะไร?

     -Will  you  come  back  tomorrow?

       =คุณจะกลับมาในวันพรุ่งนี้หรือ?

    3.ลักษณะของประโยคการออกคำสั่ง, การขอร้อง, และการวิงวอน      

   -ตัวอย่างประโยคการออกคำสั่ง       เช่น:-

     -Keep  quite

      =จงเงียบ.

    -Don’t  smoke

      =ห้ามสูบบุหรี่.

    -Don’t walk Shortcut field

      =ห้ามเดินลัดสนาม

 -ตัวอย่างประโยคการขอร้อง       เช่น:-

    -Please  keep  clean

      =กรุณารักษาความสะอาด

    -Please  clean

     =โปรดทำความสะอาด

    -Please don't cry

      =โปรดอย่าร้องไห้

 -ตัวอย่างประโยคการวิงวอน       เช่น:-

   -Please, do but goodness.

     =กรุณากระทำแต่ความดี.

   -May  you  come  back  soon.

     =ขอให้คุณกลับมาเร็วๆ.

   -Please give it to me.

      =กรุณาให้มันแก่ฉัน.

   -Would  you  please  give  me  your  love ?

      =กรุณามอบความรักของคุณให้ฉันหน่อยได้ไหม?

     4.ลักษณะของประโยคคำอุทาน       เช่น:-

        -How  beautiful  you  are !

         =คุณสวยจริงๆ.

        -There's  the  bus  comes ! 

         =นั่นรถมาแล้ว !

        -It is good really !

         =มันดีจริงๆ ! 

       ลำดับต่อไปนี้จะได้ทำการอธิบายประโยคทั้ง 3 ที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้อย่างแจ่มแจ้งและเข้าใจนำเอาไปใช้เป็นแบบ

อย่างในการเขียนและการพูดภาษาอังกฤษที่ดีต่อไป

                   Simple  Sentense

   -Simple sentense   แปลว่า "ประโยคธรรมดา"  คือประโยคที่มีประธานและกิริยาเป็นตัวแสดงก็สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้แล้ว   เช่น:- 

         -Thanisa  strolls.

       =ธนิสาเดินเล่น.

       -Wannipa  goes  to  school.

       =วรรณิภาไปโรงเรียน.

       -Wanchai  sits  leisurely.

       =วันชัยนั่งเล่น.

   -Simple sentense   แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-

       1.ประโยคที่มีกรรม  โครงสร้างของประโยคคือ: subject  +  verb  +  object         เช่น:-

              -Chanisa  eats  a  mango.

            =ชนิสากินมะม่วง.

              -Apichai  makes  homework.

            =อภิชัยทำการบ้าน.

              -Wanvisa  sews   clothes.

            =วันวิสาเย็บเสื้อผ้า.

        2.ประโยคที่ไม่มีกรรม    โครงสร้างของประโยค คือ: subject  +  verb        เช่น:-

              -Girl  cries.

            =เด็กหญิงร้องไห้.

              -We  travel  global.

            =พวกเราท่องเที่ยวไปทั่วโลก.

              -People  enjoy  in  Songgran  day. 

            =ประชาชนสนุกสนานในวันสงกรานต์.

               Compound  Sentense

   -Compound  sentense  แปลว่า "ประโยครวมกัน"  คือการเอาประโยค 2 ประโยคมารวมเป็นประโยคเดียวกัน โดยการใช้สันธานเป็น

ตัวเชื่อม     

   -Compound  sentense   แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-

              1.Non decreasing  compound           =ประโยครวมกันที่ไม่ลดรูป

              2.Decreasing  compound        =ประโยครวมกันที่ลดรูป

                 ตัวอย่างประโยครวมกันที่ไม่ลดรูป

       -ประโยคที่หนึ่ง: I  go  to  see  Wannipa.   =ฉันไปพบวรรณิภา.

       -ประโยคที่สอง: I  borrow  her  some  money.   =ฉันขอยืมเงินเธอ.

       -ประโยครวม: I  go  to  see  Wannipa  and  I  borrow  her  some  money.   =ฉันไปพบวรรณิภาและฉันก็ยืมเงินของเธอ.

       -ประโยคที่หนึ่ง: Wanvisa  eats  rice  less.   =วันวิสากินข้าวน้อย.

       -ประโยคที่สอง: I  eat  rice  much.  =ฉันกินข้าวมาก.

       -ประโยคไม่ลดรูป: Wanvisa  eats  rice  less  but  I  eat  rice  much.   =วันวิสากินข้าวน้อยแต่ฉันกินข้าวมาก.

                 ตัวอย่างประโยครวมกันที่ลดรูป

       -ประโยคที่หนึ่ง: I  go  to  see  the  circus.    =ผมไปดูลครสัตว์.

       -ประโยคที่สอง: Chanisa  goes  to  see  the  circus.    =ชนิสาไปดูลครสัตว์.

       -ประโยครวมลดรูป: I  and  Chanisa  go  to  see  circus.

       -การลดรูปทำให้ประโยคสั้นลงดูกระชับขึ้น

       -คำสันธานที่ใชัใน Compound  sentense  คือ:-

            -and       =และ    

            -both     =ทั้งสอง

            -both...and      =ทั้งสอง...และ

            -not  only...but  also    =ไม่ใช่...แต่ต้องเหมือนกัน     

            -as  well  as    =เท่าที่

            -when     =เมื่อไหร่

            -whenever     =เมื่อไหร่ก็ตาม

            -wherever     =ที่ไหนก็ตาม    

                    ประโยคตัวอย่าง

               -I  and  you  have  to  go  there  today.

             =ผมและคุณต้องไปที่นั้นในวันนี้.

              -She finished eating and went back.

             =เธอกินเสร็จแล้วและก็เดินกลับไป.

               -You  are  both  kind  and  sincere.

              =คุณทั้งใจดีและจริงใจ.

              -you  are  not  only  beautiful  but  kind  also.

            =คุณไม่เพียงสวยงามเท่านั้นแต่ก็ยังใจดีอีกด้วย.

              -I  will  make  good  as  well  as  you  make.

            =ฉันจะทำดีเช่นเดียวกับคุณทำ.

              -I shall  go  when  you  came  back.

            =ฉันจะไปเมื่อคุณกลับมาแล้ว.

             -You may leave whenever you wish.

         =คุณอาจจะลาจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คุณต้องการ.

           -We can have lunch wherever you like.

         =พวกเราสามารถรับประทานอาหารกลางวันที่ไหนก็ได้ตามที่คุณชอบ.

      -ยังมีคำสันธานอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า "Adversative"  คือที่แปลว่า "สวนกัน, แยกกัน, ตรงกันข้าม"       เช่น:-

           -but     = แต่

           -still    = ยังคง, ถึงกระนั้น

           -yet     =ยังเลย

           -nevertheless (เน็ฟเว่อร์เธลเลส)   =ไม่กว่านั้น

           -however     =จะอย่างไรก็ตาม, แต่ทะว่า, เสียแต่ว่า, เท่าที่

           -or   else (ออร์ เอลส์)   =ไม่เช่นนั้น

           -unless (อันเลส)       =เว้นแต่, จนกว่า, นอกจาก

                ประโยคตัวอย่าง

           -I  am  slow  but  sure.

          =ผมช้าแต่ก็แน่ใจ.

           -She  still  lives  there.

          =หล่อนยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น.

           -I  worked  very  hard  still  I  could  not  rich.

          =ผมทำงานหนักมากถึงกระนั้นผมก็ยังไม่รวย.

           -He  is  very  rich  yet  he  is  unhappy.

          =เขาร่ำรวยมากแต่เขาก็ยังไม่มีความสุข.

           -I was very tired, but I was nevertheless unable to sleep.

          =ผมเหนื่อยมากแต่ผมก็ยังคงไม่สามารถที่จะนอนหลับ.

           -I will help however I can.

          =ฉันจะช่วยเหลือเท่าที่ฉันสามารถช่วยได้.

           -Arrange your hours however you like.

          =จงจัดแจงชั่วโมงของคุณเท่าที่คุณชอบ.

          -You have to leave or else you will be arrested for trespassing.

         =คุณจะต้องออกไปมิเช่นนั้นคุณจะถูกจับในข้อหาบุกรุก.

         -I won't have an operation unless surgery is absolutely necessary.

         =ฉันจะไม่มีการดำเนินการเว้นแต่ว่าการผ่าตัดเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง.

      -ยังมีคำสันธานประเภทให้เลือก       เช่น:

           -or     =หรือ

           -either....or     =ใช่....ทั้งสอง

           -neither....nor     =ไม่....ทั้งสอง

           -else     =อื่น

           -otherwise     =มิฉะนั้น

             ประโยคตัวอย่าง

          -You  or  I  have  to  go  there.

         =คุณหรือฉันจะต้องไปที่นั้น.

         -You can either go or stay.

         =คุณสามารถไปหรืออยู่.

        -I neither know nor care.

          =ฉันไม่รู้ว่าไม่ได้ดูแล.

        -We decided to go someplace else for dinner.

          =พวกเราตัดสินใจที่จะไปที่บางแห่งอื่นสำหรับอาหารเย็น.

        -Do  what  you  are  told  otherwise  you  will  be  punished.

           =จงทำสิ่งที่คุณพูดมิฉะนั้นคุณจะถูกลงโทษฬ

      -คำสันธานประเภทเหตุผลแก่กันและกัน       เช่น:-

            -for      =เพราะ, ด้วยว่า

            -so      =ดังนั้น, เผื่อ, ถ้า, เพื่อ

            -therefore      =ดังนั้น, ด้วยเหตุนี้, ด้วยเหตุฉะนี้, เพราะเหตุนี้

            -consquently      =ดังนั้น, จึง, เพราะฉะนั้

           ประโยคตัวอย่าง

     -They were certainly there, for I saw them.

     =พวกเขาอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอนด้วยว่าฉันเห็นพวกเขา.

    -We were bored with the movie, so we left.

     =พวกเราเบื่อหนังเรื่องนี้ดังนั้นพวกเราจึงได้หนีไป.

   -The cell phone is thin and light and therefore very convenient to carry around.

      =โทรศัพท์มือถือบางและเบาและดังนั้นจึงสะดวกสบายต่อการพกพา.

   -Directors know flexibility  consequently   they get high wages.

     =กรรมกรทั้งหลายรู้จักการยืดหยุ่นดังนั้นพวกเขาจึงได้รับค่าจ้างสูง.

            Complex  Sentense

   -Complex  sentense   คือประโยคผสมกัน       เช่น:-

        -ประโยคที่หนึ่ง: This  is  a  lady.      =นี้คือสุภาพสตรี.

        -ประโยคที่สอง: Who  I  love  her.    =ซึ่งฉันรักเธอ.

        -ถ้าเอาประโยคทั้งสองมาผสมกันเข้าก็จะได้รูปประโยคดังนี้

               -This  is  a  lady  who  I  love  her.

                  =นี้คือสุภาพสตรีที่ผมรักเธอ.

                  -เมื่อเชื่อมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีความหมายที่ดีมาก

          ลักษณะของประโยคที่ผสมกัน

     1.Principal  Clause  (พรินซิพัล คลอซ)  คือมุขยประโยค                    

     2.Suborninate  Clause (ซับบอร์นิเนท คลอซ)  คืออนุประโยค

       -อนุประโยคแบ่งออกเป็น  3  ชนิด คือ:-

             1.Adjective  clause (แอดเจคทีฟว์  คลอซ)  คืออนุประโยคคุณศัพท์

            2.Adverb  clause  (แอดเวิร์บ  คลอซ)   คืออนุประโยคกิริยาวิเศษณ์

            3.Noun  clause  (นาม  คลอซ)  คืออนุประโยคคำนาม

                      อนุประโยคคุณศัพท์

      -คำที่ใช้เชื่อมต่อในอนุประโยคคุณศัพท์มี  14  ตัว  คือ:

           -who        เป็นสรรพนาม  แปลว่า "ใคร, ผู้ซึ่ง"

           -whom    เป็นสรรพนาม  แปลว่า "ผู้ซึ่ง"

           -whose    เป็นสรรพนาม  แปลว่า "ของใคร, ผู้ใด"

           -which    =ที่, ซึ่ง, ใด, ไหน, อันไหน

           -that       =ที่, ว่า, ซึ่ง, เพราะ, กระนั้

           -as        =เช่น, ตาม, เหมือน, เนื่องจาก, ราวกับ, เพราะ, ประหนึ่ง

           -such  the  same     =เช่นเดียวกัน

           -but    =แต่, แต่ว่า

           -who...not     =ที่...ไม่ได้

           -which...not    =ซึ้ง...ไม่ได้

           -where     =ที่ไหน, ตรงไหน, สถานที่, ตรงที่, แห่งใด

           -when     =เมื่อไหร่, เมื่อ, ตอน, เวลา, ครั้น, ตอนที่, ขณะที่

           -why     =ทำไม, ไฉน, เพราะเหตุใด

           -how     = อย่างไร, อย่างไง, เช่นใด, วิธี 

         ประโยคตัวอย่างที่ใช้ who  เชื่อม

     -I didn't know who he was.     (ไม่ใส่ ? )

     =ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร. 

       -I  didn't  know.    เป็นมุขยประโยค

       -Who  he  was.    เป็นอนุประโยค

    -The  woman  who  is  standing  there  is  my  wife.

       =ผู้หญิงผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นเป็นภรรยาผม.

          -The  woman  is  my  wife.    เป็นมุขยประโยค

          -Who  is  standing  there.    เป็นอนุประโยค

   -I  know  who  she  is  where comes  from.     (ไม่ใส่ ? )

      =ฉันรู้ว่าหล่อนเป็นใครมาจากไหน.  

        -I  know.     เป็นมุขยประโยค

        -Who  she  is  where  comes  from.       เป็นอนุประโยค

            ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whom เชื่อม

   -I was introduced to the artist, whom I was anxious to meet.

     =ผมถูกแนะนำต่อศิลปินผู้ซึ่งผมกระตือรือร้นที่จะพบ.

   -He  was  an author whom I had never heard.

     =เขาเป็นนักประพันธ์ผู้ที่ฉันไม่เคยได้ยิน.

    -Her brother, whom I met last year, is an attorney.

     = พี่ชายของเธอผู้ที่ผมพบเมื่อปีที่แล้วเป็นทนายความ.

            ประโยคตัวอย่างการใช้ whose เชื่อม

  -I wonder whose story was chosen.

    =ฉันประหลาดใจว่าเรื่องของใครจะถูกเลือก.

  -The prize will go to the writer whose story shows the most imagination.

    =รางวัลจะไปถึงผู้เขียนซึ่งเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นจินตนาการมากที่สุด.

  -The book whose cover is torn

     =หนังสือเล่มนี้ซึ่งมีปกถูกฉีกขาด.

  -I know the man whose car is red.

    =ฉันรู้จักผู้ชายซึ่งรถของเขามีสีแดง.

 -That is the girl whose house is very big.

    =นั่นคือผู้หญิงซึ่งบ้านของหล่อนใหญ่มาก.

 -I don’t care whose car is this.

    =ผมไม่สนว่ารถคันนี้เป็นของใคร.

 -I don’t know whose pen is on the table.

   =ผมไม่รู้ว่าปากกาของใครอยู่บนโต๊ะ.

  Whose:

การใช้ whose ก็คล้ายกับการใช้ his, her แสดงความเป็นเจ้าของ โดยใช้กับคนหรือสิ่งของ

  -That is the man whose house we saw just now.

    =นั่นคือคนที่มีบ้านที่เราเห็นเพียงแค่ตอนนี้.

  -Is there anybody here whose name hasn’t been called?

    =มีใครที่นี่ที่ชื่อยังไม่ได้รับการเรียกหรือ?

  -He quarrels with everybody whose ideas are not exactly the same as his own.

    =เขาทะเลาะกับทุกคนที่มีความคิดที่ไม่ตรงเช่นเดียวกับตัวเขาเอง.

  -The ship, whose design was inspired by the Titanic, was built many years after the  accident.

      =เรือที่มีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไททานิคถูกสร้างขึ้นหลายปีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ.

 -เมื่อใช้กับสิ่งของเรามักจะใช้ of which แทน       เช่น:-

     -Last night he sang a song, the name of which I couldn’t remember.

        =คืนสุดท้ายที่เขาร้องเพลงชื่อของเพลงที่ฉันจำไม่ได้.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ which เชื่อม

    -He knew which people had paid and which hadn't.

      =เขารู้ว่าประชาชนคนไหนได้รับการจ่ายและคนไหนไม่ได้รับการจ่าย.  

   -Which tie should I wear, the red one or the green one?

      =ผมจะสวมใส่เน็คไทอันไหนสีแดงหรือสีเขียวหรือ?   

   -Which way should we turn at the stoplight?

     =พวกเราจะกลับทางไหนที่ไฟจอดรถ.

   -Choose which style you like best.

     =จงเลือกแบบที่คุณชอบที่สุด.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ that เชื่อม

  -She  likes  shirts  that  I  buy  for  her.

     =เธอชอบเสื้อที่ผมซื้อให้เธอ.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ as เชื่อม

  -Various trees, as oaks and pines  have  in  this  forest.

      =ต้นไม้นานาชนิดเช่นต้นโอ๊กและต้นต้นสนมีในป่านี้.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ such  the  same เชื่อม

  -He  is  learning  English  such  the  same  with  her.

     =เขากำลังเรียนภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับเธอ.

       ประโยคตัวอย่างที่ใช้ but เชื่อม

  -I don't know her, but my husband does.

     =ฉันไม่รู้จักเธอแต่สามีของฉันรู้.

  -We had no choice but to leave.

      =ฉันไม่มีทางเลือกมีแต่จะออกไป.

     ประโยคตัวอย่างที่ใช้ who...not เชื่อม

  -He  has  a  friend  who  his  parent  is  not  like.

     =เขามีเพื่อนคนหนึ่งที่พ่อแม่ของเขาไม่ชอบ.

      ประโยคตัวอย่างที่ใช้ which...not  เชื่อม

  -She  has  a red  pen  which  can  not  use  to  write  a  book.

     =เธอมีปากกาสีแดงซึ่งไม่สามารถเขียนใช้หนังสือได้.

       ประโยคตัวอย่างที่ใช้ where เชื่อม

  -She doesn't know where he is going.

     =หล่อนไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหน.   

  -It doesn't matter to me where we eat.

    =มันไม่สำคัญต่อฉันตรงที่พวกเรารับประทาน.

       ประโยคตัวอย่างที่ใช้ when เชื่อม

  -You can go when the bell rings.

     =คุณไปได้เมื่อระฆังดังขึ้น.

  -Call me when you get home.

    =จงเรียกฉันเมื่อคุณมาถึงบ้าน.   

  -Things were better when he got a job.

     =สิ่งที่ดีขึ้นเมื่อเขาได้งานทำ.

      ประโยคตัวอย่างที่ใช้ why เชื่อม

  -I know why he did it.

     =ฉันรู้ว่าทำไมเขาจึงทำมัน.

  -It's easy to see why she fell in love with him.

      =มันง่ายที่จะดูว่าทำไมหล่อนจึงตกหลุมรักเขา.

      ประโยคตัวอย่างที่ใช้ how เชื่อม

  -She told us how she had to work hard.

     =หล่อนบอกพวกเราถึงวิธีที่หล่อนทำงานหนัก.   

  -He knows how you are a valued employee.

      =เขารู้ถึงวิธีที่คุณเป็นลูกจ้างที่มีค่า. 

  -It's amazing how they completed the bridge so quickly.

      =มันน่าพิศวงถึงวิธีที่พวกเขาทำสพานให้สำเร็จอย่างรวดเร็วมาก.


             Adverb  Clause

   -adverb clause  คืออนุประโยคกิริยาวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ:-

      1.Adverb clause of time                       คืออนุประโยคของกาลเวลา

      2.Adverb clause of place                      คืออนุประโยคของสถานที่    

      3.Adverb clause of reason                    คืออนุประโยคของเหตุผล

      4.Adverb clause of condition               คืออนุประโยคของเงื่อนไข

      5.Adverb clause of conversion            คืออนุประโยคของการขัดแย้งกัน

      6.Adverb clause of comparison           คืออนุประโยคของการเปรียบเทียบ

      7.Adverb clause of result                     คืออนุประโยคของผลลัพธ์

               อนุประโยคของการเวลา

   -อนุประโยคของกาลเวลา ใช้คำสันธานในการเชื่อต่อ 10 ตัว คือ:-

       1.when                                      =เมื่อ

       2.whenevr                               =เมื่อไรก็ตาม

       3.while                                      =ขณะที่

       4.before                                   =ก่อน

       5.after                                       =ภายหลัง

       6.as                                             =ตามที่

       7.since                                      =หลังจาก,เนื่องจาก, ตั้งแต่

       8.untill                                     = จนกระทั่ง, ต่อเมื่อ

       9.as  soon  as                        =นานเท่าที่

       10.no  sooner...than         =ไม่นานเกินกว่า 

       ประโยคตัวอย่างที่ใช้ when เชื่อม

   -I loved science subjects when I was at school.

      =ฉันรักวิชาวิทยาศาสตร์เมื่อฉันอยู่ที่โรงเรียน.

   -She  is  in  the  home  when  I  leave  come.

      =หล่อนอยู่ในบ้านเมื่อผมออกมา.


        -come เป็น infinitive without  to

   -When  I  learn  the  book, she  works.

      =เมื่อผมเรียนหนังสือ, หล่อนก็ทำงาน.

        -when  วางไว้ต้นประโยคก็ได้    คำเชื่อมตัวอื่นๆก็ให้ดู when เป็นตัวอย่าง

          ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whenevr เชื่อม

   -You may leave whenever you wish.

    =คุณอาจจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คุณปราถนา.

   -Whenever he leaves the house he always takes an umbrella.

      =เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาออกจากบ้านเขาจะนำร่มไปด้วยเสมอ.

   -The teacher welcomes originality whenever it is shown.

     =ครูยินดีตอนรับความคิดริเริ่มใหม่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกแสดงออกมา.

          ประโยคตัวอย่างที่ใช้ while เชื่อม

   -Someone called while you were out.

     =บางคนเรียกในขณะที่คุณออกมา.

   -You can get the photos developed while you wait.

     =คุณสามารถรับเอาภาพถ่ายที่พัฒนาในขณะที่คุณรอ.

   -The phone rang while I was doing the dishes.

      =โทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ฉันกำลังทำอาหาร.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ before เชื่อม

   -He left long before morning came.

    =เขาจากไปนานแล้วก่อนที่เวลาเช้าจะมาถึง.

   -The judge stood up before the defendant did.

     =ผู้พิพากษายืนขึ้นก่อนที่จำเลยจะดำเนินการ.

    -Say goodbye before you go.

       =จงพูดว่า "ลาก่อน" ก่อนที่คุณจะไป.

         ประโยคตัวอย่างที่ใช้ after เชื่อม

   -He returned after 20 years had passed.

      =เขากลับมาหลังจาก 20 ปีได้ผ่านไปแล้ว.

   -The defendant stood up after the judge did.

     =จำเลยยืนขึ้นหลังจากผู้พิพากษาดำเนินงาน.

   -Don't tell them until after they've had dinner.

     =อย่าบอกพวกเขาจนกระทั่งหลังจากพวกเขาได้รับประทานอาหารเย็นแล้ว.

         ประโยคตัวอย่างที่ใช้ as เชื่อม

   -George did business in the same manner as his father did.

     =จอร์จทำธุรกิจในลักษณะเช่นเดียวกันกับพ่อเขาทำ.

   -Jody looks as  she had seen a ghost.

     =จูดี้ดูเหมือนว่าเธอได้เห็นผี.

   -Pornchai speaks English well as he is a British.

      =พรชัยพูดภาษาอังกฤษได้ดีราวกับว่าเขาเป็นชาวอังกฤษคนหนึ่ง.

         ประโยคตัวอย่างที่ใช้ since เชื่อม

   -We've played better since you joined the team.

      =พวกเราเล่นดีกว่าตั้งแต่คุณเข้ามาร่วมทีม.

     -He has had two jobs since he graduated.

    =เขาได้มีงานสองงานตั้งแต่เขาจบการศึกษา.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ untill เชื่อม

    -We played until it got dark.

     =พวกเราเล่นจนกว่ามันจะมีสีเข้มขึ้น.

    -Wait until I call.

     =จงรอจนกระทั่งฉันเรียก.

    -Keep going until I tell you to stop.

     =จงเก็บไปจนกว่าฉันฉันจะบอกให้คุณหยุด.

      ประโยคตัวอย่างที่ใช้ as soon as เชื่อม

   -The fabric was as soft as silk.

     =เนื้อผ้าหนุมเท่ากับไหม.

   -He is every bit as clever as she  is.

      =เขาฉลาดน้อยมากเท่ากับหล่อน.

   -There are as many books here as there.

       =มีหนังสืออยู่หลายเล่นที่นี้เท่ากับที่นั้น.

         ประโยคตัวอย่างที่ใช้ no sooner...than

   -The party had no sooner started than it began to rain.

       =งานเลี้ยงได้เริ่มต้นในไม่ช้ากว่าฝนก็เริ่มตก.

   -My  job  is  no  sooner  work  than  you  will  come.

   -No sooner said than done   =ไม่พูดนานเกินกว่าทำ

   -she had no sooner spoken than the telephone rang.

      =หล่อนไม่พูดนานเกินกว่าโทรศัพท์ดังขึ้น.

         อนุประโยคของสถานที่

   -อนุประโยคของสถานที่  คำสันธานที่ใช้ในการเชื่อมมี  4  ตัว คือ:-

        1.where (แวร์)    แปลว่า "ซึ่งที่"             

        2.wherever  (แวร์เอฟเวอร์)    แปลว่า "ที่ใดก็ตาม"        

        3.whence  (เวนซฺ)    แปลว่า "เมื่อ"            

        4.whither  (วิธเธอร์)    แปลว่า "ที่ใดก็ตาม"

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้  where  เชื่อม

   -Please stay where you are.

       =กรุณาพักตรงที่ๆคุณอยู่.  

   -We sat down where there was some shade.

     =พวกเรานั่งลงตรงที่ๆมีร่ทเงาบาง.   

   -He put the note where she could easily see it.

     =เขาใส่เครื่องหมายเหตุตรงที่หล่อนจะเห็นมันได้ง่าย.

           ประโยคตัวอย่างที่ใช้ wherever เชื่อม

   -We can have lunch wherever you like.

    =พวกเราสามารถรับประทานอาหารกลางวันที่ใดก็ได้ตามที่คุณชอบ.   

   -I  will  follow  you, whenever  you  go.

     =ฉันจะติดตามคุณไปที่ใดก็ได้ที่คุณไป.

          ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whence เชื่อม

   -They returned to the land whence they came.

      =พวกเขากลับไปสู่ดินแดนที่พวกเขามา.

   -He told whence he came.

       =เขาบอกเมื่อเขามา.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whither เชื่อม

   -Let  him  go  whither  he  will.

      =จงปล่อยเขาไปยังที่ๆเขาจะไป.

   -She  lived  in  Bangkok  twenty  years  whither  she  didn't  has  a  house  as  herself.

      =หล่อนอาศันอยู่ในกรุงเทพฯ 20 ปี ที่ใดก็ตามหล่อนก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง.

             อนุประโยคของเหตุผล

   -อนุประโยคของเหตุผลใช้คำเชื่อมอยู่ 3 คำ คือ:

        1.because (บีคลอส)   แปลว่า "เพราะ, เพราะว่า, ด้วยว่า"

        2.as (แอส)   แปลว่า "เช่น, ตาม, เหมือน, เพราะ, ประหนึ่ง, เนื่องจาก, ราวกับ"

        3.since (ซินซฺ)   แปลว่า "ตั้งแต่, เมื่อ, เนื่องจาก, เป็นเวลา, นับตั้งแต่"

          ประโยคตัวอย่างที่ใช้ because เชือม

   -I  didn't  buy  it  because  it  is  very  expensive.

      =ฉันไม่ซื้อมันเพราะมันราคาแพงมาก.

   -As  he  was  not  at  home, I  spoke  with  his  wife.

     =เพราะเขาไม่อยู่บ้านผมจึงพูดกับภรรยาของเขา.

   -Since  you  like  that, I  must  do  follow.

       =เนื่องจากคุณชอบเช่นนั้นผมก็ต้องทำตาม.

          อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเงื่อนไข

   -อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเงื่อนไขใช้คำเชื่อมอยู่ 2 คำ คือ:-

       1.if  (อิ๊ฟ)   แปลว่า "ถ้า, หาก, แม้ว่า"

       2.unless  (อันเลส)   แปลว่า "เว้นแต่, ยกเว้น, นอกจาก"

             ประโยคตัวอย่างที่ใช้ if เชื่อม

   -If  you  come  today, you  will  see  me.

      =ถ้าคุณมาวันนี้คุณจะพบฉัน.

   -I  will  go  if  you will  come.

      =ฉันจะไปถ้าคุณจะมา.

   -It  is  impossible  unless  you  will  not  make  it.

     =มันเป็นไปได้นอกเสียแต่ว่าคุณจะไม่ทำมัน.

   -Unless  today  other  day  possible  all.  

      =ยกเว้นวันนี้วันอื่นเป็นไปได้ทั้งหมด.

        อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของข้อยินยอม

   -อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของข้อยินยอมใช้คำเชื่อม 5  ตัว คือ:-

       1.though  (โธ)   แปลว่า "ถึงแม้ว่า"

       2.although (ออลโธ)   แปลว่า "แม้น, ถึงแม้ว่า, แม้ว่า, แม้"

       3.even if  (อีเวน  อิ๊ฟ)   แปลว่า "แม้ว่า"

       4.however  (เฮาเอฟเวอร์)   แปลว่า "อย่างไรก็ตาม"

       5.whatever (วอทเอฟเวอร์)   แปลว่า "อะไรก็ได้"

          ประโยคตัวอย่างที่ใช้ though และ although เชื่อม

   -Though  I  am  poor, I  am  happy.

    =ถึงแม้ว่าผมจนผมก็มีความสุข.

   -She seemed healthy, though she is thin.

    =หล่อนดูเหมือนว่ามีสุขภำพดีถึงแม้ว่าหล่อนจะผอม.

   -I think his name is John, although I'm not completely sure about that.

    =ฉันคิดถึงชื่อของเขาคือจอห์นแม้นว่าฉันยังไม่แน่ใจอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับชื่อนั้น.

        ประโยตตัวอย่างที่ใช้ even if เชื่อม

   -I'm going to the party even if it rains.

      =ผมจะไปงานเลี้ยงแม้ว่าฝนตกก็ตาม.

   -Even  if  I  shall  be  poor, I  am  a  good  man.

      =แม้ว่าผมจะยากจนผมก็เป็นคนดี.

        ประโยคตัวอย่างที่ใช้ however เชื่อม

   -I'd like to go; however, I'd better not.

      =ฉันต้องการที่จะไปอย่างไรก็ตามฉันควรจะไม่ไปดีกว่า.

   -However  rich  you  may  be, you  can not  buy  the  moon.

     =ถึงแม้คุณอาจจะเป็นคนรวยคุณก็ไม่สามารถซื้อดวงจันทร์ได้.

      ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whatever เชื่อม

   -She will buy the painting at whatever price.

     =หล่อนจะซื้อภาพวาดที่มีราคาเท่าไหร่ก็ได้.

        อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์การเปรียบเทียบ

   -อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์การเปรียบเทียบใช้คำเชื่อม 4 ตัว คือ:-

        1.more.....than       =มากกว่า

        2.than     =กว่า

        3.as......as      =เท่า, เทียบเท่า

        4.as     =เช่น, เพราะ, ตาม, เนื่องจาก

          ประโยคตัวอย่างที่ใช้ คำสันธาน  เชื่อม

   -She  sings  more  good  than  I.

      =หล่อนร้องเพลงดีกว่าฉัน.

   -He  speaks  English  better  than  I.

      =เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าฉัน.

   -We  do  job  as  well  as  our  friends.

     =พวกเราทำงานดีเท่ากับเพื่อนของพวกเรา.

   -She  is  not  so  clever  as  I  think.

     =หล่อนไม่ได้ฉลาดมากอย่างที่ฉันคิด.

        อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์เพื่อวัตถุประสงค์

   -อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์เพื่อวัตถุประสงค์ใช้คำเชื่อม 3 คำ คือ:-

        1.that                           =ที่, ว่า, ซึ่ง

        2.so  that                    =ดังนั้น

        3.in  order  that      =เพื่อว่า, เพื่อ, เพื่อที่จะ, เพื่อที่

            ประโยคตัวอย่างของคำเชื่อมเหล่านี้

   -I  work  hard  that  I  may  succeed.

    =ข้าพเจ้าทำงานหนักซึ่งข้าพเจ้าอาจจะประสบความสำเร็จ.

   -He  lived  here  several  years  so  that  he  fled.

    =เขาอาศัยอยู่ที่นี่หลายปีดังนั้นเขาจึงหนีไป.

   -I  wrote  the  book  in  order  that  I  might  have  some  money.

      =ผมเขียนหนังสือเพื่อว่าผมอาจจะมีเงินบาง.

            อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเหตุผล

   -อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเหตุผลใช้คำชื่อม 2 คำ คือ:-

        1.so             =ดังนั้น, มาก, แล้ว, เพราะฉะนั้น, ปานฉะนี้

        2.such        =อย่างเช่น, ดังนั้น, เช่นนี้, เช่นนั้น, แท้ๆ, จริงๆ

           ประโยคตัวอย่างของคำเชื่อมทั้งสองนี้

   -That  teacher  is  so  good  and  helpful  that  all  students  respect  him.

      =ครูคนนั้นดีมากและมีความเอื้อเฟื้อจนนักเรียนทุกคนนับถือเขา.

   -We were bored with the movie, so we left.

     =พวกเราเบื่อภาพยนตร์นี้ดังนั้นพวกเราจึงได้จากไป.

   -He  is  such  a  polite  boy  that  everybody  likes  him.

       =เขาเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยจริงๆจนทุกคนชอบเขา.

              Noun  Clause

   -noun  clause คืออนุประโยคคำนาม มีหน้าที่ 5 อย่างในประโยคคือ:-

      1.เป็นประธานของประโยค

      2.เป็นกรรมของกิริยาที่มีกรรม

      3.เป็นคำคุณศัพท์ขยายนาม

      4.เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยา

      5.เป็นกรรมของคำบุรพบท

      6.เป็นนามซ้อน

   -คำเชื่อมที่ใช้ในอนุประโยคคำนามมี 7  คำ คือ:-

        1.when         =เมื่อ  ตอน  เวลา  พอ  ครั้น   ขณะที่   ก็ต่อเมื่อ   ตอนที่     ต่อเมื่อ

        2.what          =อะไร      เท่าไหร่

        3.why            =ทำไม     ไฉน    เพราะเหตุไร

        4.that            =ที่     ที่ว่า     เพราะ     กระนั้น     จน

        5.where       =ที่ไหน    ตรงไหน     สถานที่     ตรงที่     แห่งใด

        6.how            =อย่างไร     กระไร     เพียงใด     แค่ไหน      โดยวิธีใด

        7.if                  =ถ้า     หาก     หากว่า     เผื่อว่า     มาตรว่า

   และกิริยาที่ใช้มักจะเป็นกิริยาเหล่านี้  เช่น:-tell      know      hope      say      hear      understand      see      believe      ask

think

        ประโยคตัวอย่างที่เป็นประธานของประโยค

      -That  she  will  come  bact  is  uncertain.

       =ที่ว่าหล่อนจะกลับมายังไม่แน่นอน.

      -That  you  did  not  come  was  bad  thing.

       =ที่คุณไม่มาเป็นสิ่งที่ไม่ดี.

      -That your wife had  affair with  other  because you give joy to her is not enough.

       =ที่ภรรยาของคุณมีความสัมพันธ์กับคนอื่นเพราะคุณให้ความสุขแก่เธอไม่เพียงพอ.

        ประโยคตัวอย่างที่เป็นกรรมของกิริยา

      -I  can  not  tell  what  happen  to  you.

          =ฉันไม่สามารถบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นแก่คุณได้.

      -I can't figure out what's up with this computer.

       =ผมคิดไม่ออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์เครื่องนี้.

      -Stop telling me what to do.

      =จงหยุดการพูดกับฉันถึงสิ่งที่จะทำ.

         อนุประโยคที่ขยายกิริยา

     -อนุประโยคที่ใช้ขยายกิริยา  ถ้าอยู่หลัง verb to be  ให้ใช้คำเชื่อม 3 ตัวนี้ คือ:-

          1.what

          2.where

          3.that

         ประโยคตัวอย่างที่ใช้คำเชื่อมทั้ง 3 ตัว

          -what   เช่น:-

              -Making  merit  is  what  you  must  make  always.

            =การทำบุญเป็นที่คุณต้องกระทำเสมอ.

         -where    เช่น:-

             -This  is  where  I  was  born.

            =นี้คือสถานที่ที่ฉันเกิด.

         -Her  desire  is  that  you  leave  the  house  at  once.

         =ความปราถนาของเธอคุณจงออกไปจากบ้านนี้ในทันที. 

         อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ขยายนาม

         -I  give  a  gift  what  she  desires.

            =ผมให้ของขวัญสิ่งที่เธอต้องการ.

        -We  have   sent  money  what  everybody  wants  to  her.

           =พวกเราได้ส่งเงินสิ่งที่ทุกคนต้องการให้แก่เธอ.

        -What  he  will  make  tomorrow  is  learning  English.  

         =สิ่งที่เขาจะกระทำในวันพรุ่งนี้คือการเรียนภาษาอังกฤษ.

         -ประโยคนี้วางคำเชื่อมคือ what ไว้ต้นประโยค

            อนุประโยคที่เป็นกรรมของคำบุรพบท

       -คำเชื่อมที่ใช้คือ: in     on     under     at         เช่น:-

             -My  father  was  very  pleased  in  what  I  had  done.

             =พ่อของฉันยินดีมากในสิ่งที่ฉันได้กระทำ.

             -I  attend  place  on  where  I  go.

            =ผมสนใจสถานที่บนสถานที่ๆผมไป.

             -He  likes  to  travel  the  seaside  at  everyone  go  to  relex  in  the  holiday.

            =เขาชอบที่จะไปท่องเที่ยวริมทะเลที่ทุกคนไปพักผ่อนในวันหยุด.

             อนุประโยคทำหน้าที่เป็นนามซ้อน

       -The  news  that  he  had  been  killed  by  unknown  gunman  was  not  true.

          =ข่าวที่ว่าเขาได้ถูกฆ่าตายโดยมือปืนลึกลับไม่จริง.

       -Wantip  wait  you when  you  come  she  will  go.

          =วันทิพย์รอคุณเมื่อคุณมาหล่อนก็จะไป.

       -School  where  everyone  go  to  learn  the  book  is  a  place generates  people quality.

          =โรงเรียนที่ทุกคนไปเรียนหนังสือเป็นสถานที่ผลิตคนที่มีคุณภาพ.

       -We  go  to  Bangsan  where  place  is  beautiful  in  Chonburi province.

           =พวกเราไปบางแสนที่เป็นสถานที่ๆมีความสวยงามในจังหวัดชลบุรี. 


             การเรียงลำดับตำแหน่งคำที่ถูกต้องในประประโยค

    -การเรียนรู้พื้นฐานในการเรียงลำดับตำแหน่งคำในประโยคอย่างถูกต้องนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง  ถ้าคนมีพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ค่อยดีจะ

เรียงลำดับคำในประโยคไม่ค่อยถูกต้อง  บางคนพูดภาษาอังกฤษได้แต่ผิดหลักไวยกรณ์เราก็ให้อภัยเขาเพราะเขามีพื้นฐานของไวยกรณ์ไม่ดีนี้

คือการพูดแบบชาวบ้านที่ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษแบบถูกหลักไวยกรณ์มาก่อน จึงพูดภาษาอังกฤษไม่สุภาพไม่เพราะหูจับต้นชนปลายไม่ถูก

ภาษาในตระกูลยูโรภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่พูดแล้วมีความไพเราะที่สุด  เพราะฉะนั้นท่านที่เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ได้เรียน

ภาษาอังกฤษมาอย่าพูดภาษาอังกฤษแบบผู้หญิงที่หากินกับฝรั่งต้องพูดให้ได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา  ถ้าใครฝึกฝนการเรียนภาษาอังกฤษ

ตามเว็บไซต์ของข้าพเจ้านี้ผู้นั้นจะพูดภาษาอังกฤษได้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่าเจ้าของภาษาเลยทีเดียว 

   -ประโยคที่ใช้พูดจากันในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:-

      1.Affirmative sentence (อัฟเฟอมะทีฟว์ เซนเทนซ์)    แปลว่า "ประโยคบอกเล่า"

      2.Question  sentence (เควสชั่น เซนเทนซ์)    แปลว่า "ประโยคคำถาม"

      3.Answers sentence (อานเซอร์ เซนเทนซ์)    แปลว่า "ประโยคคำตอบ"

      4.negative sentence (เนกะทีฟว์ เซนเทนซ์)    แปลว่า"ประโยคปฏิเสธ"

      5.Negative  question (เนกะทีฟว์ เควสชั่น)     แปลว่า "คำถามปฏิเสธ"            

   1.Affirmative sentence (อัฟเฟอมะทีฟว์ เซนเทนซ์)    แปลว่า "ประโยคบอกเล่า"

       -ประโยคบอกเล่าแบ่งออกเป็น  2  ชนิด คือ:-

             1.ประโยคบอกเล่าที่ไม่มีกรรม  มีรูปโครงสร้างดังนี้

                1.1 subject  +  verb       เช่น:-

                    -He  sleeps.                

                     =เขานอนหลับ.

                   -We  are  walking.  

                     =พวกเรากำลังเดิน.

                   -People  joy.

                     =ประชาชนทั้งหลายปิติยินดี.

               1.2 subject  +  verb  +  complement

                     -I  am  a  Thai.

                      =ข้าพเจ้าเป็นคนไทย.

                     -They  are  teachers.

                      =พวกเขาเป็นครู.

                     -These  books  are  mine.

                      =หนังสือเหล่านี้เป็นของฉัน.

        2.ประโยคบอกเล่าที่มีกรรม  แบ่งออกเป็น 2 ชนิด  คือ:-

           2.1ประโยคบอกเล่าที่มีกรรมตรง (direct object)    มีรูปโครงสร้างดังนี้

               -ประธาน   +   กิริยา  +  กรรมตรง       เช่น:-     

                     -She  eats  an  apple.

                 =หล่อนกินแอปเปิ้ล.

                     -I  receive  gifts.

                =ฉันรับของขวัญ.

                    -They  kick  a  football.

                =พวกเขาเตะฟุตบอล.

          2.2 ประโยคบอกเล่าที่มีกรรมรอง (indirect object)       มีรูปโครงสร้างดังนี้

                 -ประธาน  +  กิริยา  +  กรรมรอง  +  กรรมตรง       เช่น:- 

                         -He  gives  me  a  book.

                    =เขาให้หนังสือแก่ฉัน.

                         -I  make  them  the  homework.

                    =ฉันทำการบ้านให้พวกเขา.

                        -She  buys  Ladda  a  shirt.

                    =หล่อนซื้อเสื้อให้แก่ลัดดา.

                        -Let me buy you a drink.

                   =อนุญาตให้ฉันซื้อเครื่องดื่มให้คุณ.

                        -I  will  send  you  a  letter.

                   =ฉันจะส่งจดหมายให้แก่คุณ.

        **คำกิริยา 17 ตัวเหล่านี้มักจะตามด้วยกรรมทั้ง 2 ตัวเสมอ คือ:-

                1.bring (บริง)   แปลว่า "พก, เบิก, นำมาซึ่ง, พกพา, นำพา"

                2.get (เกท)   แปลว่า "ได้รับ, ทำให้, เอา, เอาไปเสีย, บรรลุ"

                3.give (กิ๊ฟว์)   แปลว่า "ให้, ประทาน, ยกให้, แจก"

                4.hand (แฮนดฺ)   แปลว่า "มอบ, ส่ง, ยื่น, จับ, ถือ, หิ้ว, จูง "  ถ้าเป็นคำนามแปลว่า "มือ"

                5.leave (ลีฟว์)   แปลว่า "ปล่อย, ทิ้ง, จาก, ละ, ยกเลิก, สละ, แรม, ผันผาย,

ปล่อยปละละเลย, ลาจาก, ออกไป, ร่ำลา"

                6.offer (อ๊อฟเฟอร์)   แปลว่า "เสนอ, มอบ, ให้, ถวาย, ประเคน"

                7.pass (พาส)   แปลว่า "ผ่าน, ผ่านไป, พ้น"

                8.send (เซนดฺ)   แปลว่า "ส่ง, นำส่ง"

                9.take (เทค)   แปลว่า "เอา, นำเอา, จับ, หยิบ, พก, ฉกฉวย"

                10.tell (เทล)   แปลว่า "บอก, กล่าว"

                11.read (รีด)   แปลว่า "อ่าน"

                12.write (ไรทฺ)   แปลว่า "เขียน, จด, ประพันธ์"

                13.teach (ทีช)   แปลว่า "สอน, อบรม"

                14.buy (บาย)   แปลว่า "ซื้อ, จับจ่าย"

                15.sell (เซล)   แปลว่า "ขาย, จำหน่าย"

                16.fix (ฟิคซ์)   แปลว่า "ซ่อม, ซ่อมแซม, ปรับปรุง, แก้ไข"

                17.make (เมค)   แปลว่า "ทำ, สร้าง, ก่อ"

            -ในกรณีที่ไม่มีกรรมรองจะใส่คำวลีแทนก็ได้       เช่น:-

                    -I  buy  a  perfume  for  her.

                =ผมซื้อน้ำหอมให้แก่เธอ.

                      -perfume (เพอฟิม)   แปลว่า "น้ำหอม"

            **หมายเหตุ:- ประโยคที่สมบูรณ์แบบจะมีส่วนประกอบของคำดังนี้

                -อาร์ทิเกิล หรือ คุณศัพท์  +  ประธาน  +  กิริยา  + คำกิริยาวิเศษณ์  +  กรรม  +  คำขยายกรรม  +  วลี       เช่น:-

                     -A  tall  man  give  a  food  at  yummy  for  me  today.

                      =ชายร่างสูงให้อาหารที่อร่อยแก่ฉันในวันนี้.

                     -Viyada  was  ill  in  a hotel  at  famous  outskirts  yesterday.

                       =วิยดาป่วยในโรงแรมที่มีชื่อเสียงอยู่นอกเมืองเมื่อวานนี้.

                     -We live on the outskirts of town.

      2.Question  sentence (เควสชั่น เซนเทนซ์)    แปลว่า "ประโยคคำถาม"          

       -การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามมีหลักอันเป็นรากฐานอยู่ 3 ข้อ คือ:-

        2.1ถ้าประโยคบอกเล่านั้นมีกิริยาเป็น verb to be  เวลาทำให้เป็นประโยคคำถามให้เอา verb to be  ไว้ต้นประโยคและเครื่องหมาย

คำถามคือ ?  ไว้ท้ายประโยค     เช่น:-

           -ประโยคบอกเล่า   เช่น:- She  is  a  good  woman.

           -ประโยคคำถาม    เช่น:-Is  she  a  good  woman?  

                                               =หล่อนเป็นคนดีหรือ?

            -ประโยคบอกเล่า   เช่น:-Wantip  is  a  very  beautiful  woman.

            -ประโยคคำถาม   เช่น:-Is  Wantip  a  very  beautiful  woman?

                                               =วันทิพย์เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งหรือ?

            -ประโยคบอกเล่า    เช่น:-There  are  fruits  in  the  basket.

            -ประโยคคำถาม      เช่น:-Are  there  fruits  in  the  basket?

                                             =มีผลไม้ในตะกร้านั้นหรือ?

            -คำถามที่ขึ้นต้นประโยคด้วย Question  Word       เช่น:-

                     -How  are  you?

                       =คุณเป็นอย่าง?

                     -What  is  your  name?

                       =คุณชื่ออะไร?

                     -Where  are  you  from?     (แบบอังกฤษ)

                       =คุณมาจากไหน?

            -ประโยคคำถามใช้มากในภาษาพูด  ถ้าคนไหนอยากพูดภาษาอังกฤษเก่งให้ฝึกสร้างประประโยคคำถามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มองเห็นอะไรรอบกายให้นึกสร้างเป็นประโยคคำถามในทันทีเมื่อฝึกสร้างประโยคคำถามได้แล้ว  ก็ให้นึกหาคำตอบของประโยคนั้นด้วย  อย่างน้อยวันหนึ่งให้สร้างประโยคคำถามให้ได้ 20 ประโยค     เช่น:-

              -ถ้ามองเห็นแก้วน้ำ ให้นึกแต่งประโยคขึ้นในใจทันทีว่า

                  -How much is a glass of water  in  this  room?

                   =มีแก้วน้ำกี่ใบในห้องนี้.

              -นึกตอบว่า  "There  are  ten  glasses  of  water  in  this  room."

                                   =มีแก้ว 10 ใบในห้องนี้

              -มองเห็นปากกาก็ให้นึกถามขึ้นในใจว่า

                    -Whose  is  it  a  pen?

                       =มันเป็นปากกาของใคร?

                    -ให้ทำการนึกตอบในใจว่า

                        -It  is  father's  pen.

                          =มันเป็นปากกาของพ่อ.

                   Q:-Is  it  father's  pen  really?

                   A:-Yes,it  is  father's  pen  really.

                   Q:-How  price  is  this  pen ?

                   A:-This  pen  has  price  three  hundred  bahts.

                   Q:-what  did  this  pen  make  in  a  country?

                   A:-It  was  maked  by  China.

                   Q:-Was  it  best  goods  of  chaina? 

                    A:-Yes,it  was.                        

    2.2 ถ้าประโยคบอกเล่านั้นใช้กิริยาตัวอื่นนอกจาก verb to be  ให้เปลี่ยนกิริยาตัวนั้นเป็น verb to do  เสียก่อนและกิริยาตัวเดิมต้องเป็นรูป

ปัจจุบันกาล       เช่น:-

          -He  likes  to  drink  coffee.

           =เขาชอบการดื่มกาแฟ.

          -Does  he  like  to  drink  coffee?

           =เขาชอบการดื่มกาแฟหรือ?

          -She  lived  in  home  at  beautiful.

          =หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านที่สวยงาม.

         -Did  she  live  in  home  at  beautiful?

          =หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านที่สวยงามหรือ?

         -We  ate  food  finished.

          =พวกเราทานอาหารเสร็จแล้ว.

         -did  you  eat  food  finished?

          =พวกคุณทานอาหารเสร็จแล้วหรือ?

     2.3 ในประโยคบอกเล่าที่มีกิริยาช่วยทั้งหลายเหล่านี้คือ:-

         -do   does   did   done

         -has     have      had

         -shall     should     will     would

         -can     could

         -may     might  

      -เวลาทำให้เป็นประโยคคำถามให้เอากิริยาช่วยเหล่านี้วางไว้ต้นประโยคและใส่เครื่องหมายคำถามคือ ? ไว้ท้ายประโยค     เช่น:-

          -She  does  homework  everyday. เปลี่ยนเป็น Does  she  homework  everyday?

          -He  has  five  dogs.                         ,,            ,,       Has  he  five  dogs?

          -I  shall  go  to  Grungtep.               ,,            ,,       Will  you  go  to  Grungtep?

          -I  can  speak  English.                    ,,            ,,       Can  you  speak  English?

          -You  may  go  there  today.           ,,            ,,       May  you  go  there  today?

    3.Answers sentence (อานเซอร์ เซนเทนซ์)    แปลว่า "ประโยคคำตอบ"

      -ในประโยคคำตอบเราจะตอบสั้นหรือยาวก็ได้แต่ในภาษาพูดมักจะตอบสั้นๆพอเข้าใจ     เช่น:-

            -ประโยคคำถาม     เช่น:-

               -How  old  are  you?

                =คุณอายุเท่าไหร่?

              -ตอบแบบยาว       เช่น:-

                -I  am  twenty  five  years  old.

                  =ฉันอายุ 25 ปี.

             -ตอบแบบสั้นๆ       เช่น:-

               -twenty  five   years

                =25  ปี

           -ประโยคคำถาม:-Which day  will  you  go  Grungtep?

                                    =คุณจะไปกรุงเทพฯวันไหน?

           -ตอบแบบยาว      เช่น:-

              -I  will  go  Grungtep  today.

                 =ผมจะไปกรุงเทพในวันนี้.

           -ตอบแบบสั้นๆ       เช่น:-

              -Today      =วันนี้

            -ประโยคคำถาม       เช่น:-

              -Do  you  like  beer?

                =คุณชอบเบียร์ไหม?

            -ตอบแบบยาว       เช่น:-

               -Yes, I  like  it  very  much.

                =ใช่,ผมชอบมันมาก.

            -ตอบแบบสั้น       เช่น:-

               -Yes, I  do.

                =ใช่, ผมชอบ.

            -ประโยคคำถาม       เช่น:-

               -Has  he  left  already?

                =เขาได้จากไปเรียบร้อยแล้วหรือ?

            -ตอบแบบยาว      เช่น:-

               -Yes,he  has  left  already.

                =ใช่, เขาได้จากไปเรียบร้อยแล้ว.

            -ตอบแบบสั้น       เช่น:-

                    -Yes, he  has.

                =ใช่, เขาจากไปแล้ว.

      รูปย่อของประธานและกิริยาที่ควรจำ

          -I'm           = I  am

          -I've           = I  have

          -I'll             = I  will

          -we're        = we  are

          -w've          = we  have

          -we'll          = we  will

          -you're       = you  are

          -you've       = you  have

          -you'll         = you  will

          -he's           = he  is

          -he'll           = he  will

          -she's          = she  is

          -she'll          = she  will

          -it's              = it  is

          -they're       = they  are

          -they've      = they  have

          -they'll        =they  will      

    4.negative sentence (เนกะทีฟว์ เซนเทนซ์)    แปลว่า"ประโยคปฏิเสธ"

     -รูปแบบประโยคอีกแบบหนึ่งในภาษาอังกฤษคือ ประโยคปฏิเสธ หลักการในการทำประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธไม่ซับซ้อนเท่าประโยคคำถาม

ทางลัดคือแค่หากริยาแท้และกริยาช่วยในประโยคให้ได้

     4.1สำหรับ simple tense ไม่ว่าจะเป็น present หรือ past tense ให้ใช้ verb to do เข้ามาช่วย เพราะประโยคบอกเล่าของมันไม่มีกริยา

ช่วย แค่นำกริยาช่วย verb to do มาเติม not แล้ววางๆไว้หน้ากริยาแท้ในประโยคก็เป็นอันเรียบร้อย สามารถเขียนรูปย่อได้ดังนี้

          -do not           =        don’t

         -does not       =        doesn’t

         -did not          =        didn’t           

     เช่น:-

         -You don’t have to go there.

         -They did not tell us about this.

         -She doesn’t like living in downtown.

     4.2 ใน Tense อื่นๆ นั้นจะมีกริยาช่วยในประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตามหาให้วุ่นวาย ก็จับ not ใส่ข้างหลังกริยาช่วยเหล่านั้นได้เลยเป็นอันเรียบร้อยค่ะ รูปย่อของกริยาช่วยแต่ละตัวมีดังนี้

           -am not           =        m not   amn't                      

           -is not              =        isn't                     

           -are not           =        aren’t                     

           -was not          =        wasn’t

           -were not        =        weren’t

           -has not           =        hasn’t

           -have not         =        haven’t

           -had not           =        hadn’t          

   เช่น:-

       -They weren’t sleeping when the thief came in.

       -I have not opened my computer for months.

  **หมายเหตุ:- ในกรณีที่ verb to be ไม่ว่าจะเป็นกริยาช่วยหรือกริยาแท้ (แปลว่า เป็น, อยู่, คือ) ก็เติม not เข้าไปได้เลย   เช่น:-

       -He isn’t here.

        =เขาไม่ได้อยู่ที่นี่.

   แต่ถ้า verb to have หรือ verb to do เป็นกริยาแท้จะเติม not เข้าไปเลยไม่ได้ ต้องเอา verb ช่วย ตาม tense นั้นมาเติมอีกทีหนึ่ง

เช่น:-

        -I don’t have much work.

        -She has done it alone.

  **ข้อควรจำ:- ประโยคอื่นๆ ที่มี กิริยาช่วย (can, could, will, would, may, might, shall, should) เวลาอยากจะทำเป็นปฏิเสธ

ก็เติม not เข้าไปหลัง กิริยาช่วย ได้เลยเช่นกัน        เช่น:-

         -I can’t believe it happened.

         -You shouldn’t spend much money on useless things.

    ประโยคบางประโยค ถึงแม้ไม่มีคำว่า not แต่มีจะมี adverb ที่มีความหมายเป็นปฏิเสธก็จะถือเป็นประโยคปฏิเสธเช่นกัน   เช่น:-

        -He never comes early.

        -She hardly speaks rudely.

ตำแหน่งในการวางกริยาวิเศษณ์เหล่านี้ก็มักจะวางไว้หน้า verb แท้ในประโยค

     5.Negative  question (เนกะทีฟว์ เควสชั่น)     แปลว่า "คำถามปฏิเสธ" 

      -ประโยคคำถามปฏิเสธแบ่งออกเป็น 3 ชนิด  คือ:-

        1.ประโยคคำถามปฏิเสธแบบเอารุปคำปฏิเสธไว้ด้านหน้ามีหลักในการวางดังนี้     

            -ประโยคตัวอย่าง เช่น:- Is  he  a  student?     =เขาเป็นนักศึกษาหรือ?

              -ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:- Is  he  not  a  student?   =เขาไม่เป็นนักศึกษาหรือ?

              หรือจะใช้รรูปประโยคอย่างนี้ก็ได้ เช่น:-Isn't  he  a  student?

            -ประโยคตัวอย่าง เช่น:- Does  she  like  coffee?    =หล่อนชอบกาแฟหรือ?

            -ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:-Does  she  not  like  coffee?  =หล่อนไม่ชอบกาแฟหรือ?

               หรือจะเป็นรูปปฏิเสธแบบนี้ก็ได้ เช่น:-Doesn't  she  like  coffee?

            -ประโยคตัวอย่าง เช่น:-Do  you  have  money?    =คุณมีเงินไหม?

            -ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:- Do  you  not  have  money?    =คุณไม่มีเงินใช่ไหม?

               หรือจะเป็นรูปปฏิเสธแบบนี้ก็ได้ เช่น:-Don't  you  have  money?

            -ประโยคตัวอย่าง เช่น:-Will  he  come  here?    =เขาจะมาที่นี่หรือ?

            -ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:-Will  he  not  come  here?    =เขาจะไม่มาที่นี่หรือ?

                 หรือจะเป็นรูปปฏิเสธแบบนี้ก็ได้ เช่น:- Won't  he  come  here?    

          2.ประโยคคำถามปฏิเสธแบบเอารูปคำปฏิเสธไว้ด้านหลังมีหลักในการวางดังนี้

              2.1ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคบอกเล่า ประโยคหลังต้องเป็นประโยคคำถามปฏิเสธ       เช่น:-

                  -He  is  a  student, is  not  he?

                   =เขาเป็นนักศึกษาคนหนึ่งมิใช่หรือ?

                  -She  likes  coffee, doesn't  she?

                   =หล่อนชอบกาแฟมิใช่หรือ?

                  -You  have  money, don't  you?

                   =คุณมีเงินมิใช่หรือ? 

                  -He  will  come  here, won't  he?

                   =เขาจะมาที่นี่มิใช่หรือ? 

              2.2ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ ประโยคหลังต้องเป็นประโยคคำถามบอกเล่า       เช่น:-

                   -Penpag  is  not  here, is  she?

                    =เพ็ญพักตร์ไม่อยู่ที่นี่ใช่ไหม?

                  -He  doesn't  play  a  football, does  he?

                    =เขาไม่เล่นฟุตบอลใช่ไหม?

                  -You  can't  drive  a  car, can  you?

                    =คุณไมสามารถขับรถได้ใช่ไหม?

             2.3คำตอบของประโยคคำถามปฏิเสธอาจเป็นดังนี้ก็ได้

                 -คำตอบแบบย่อ     เช่น:-

                   -ถาม:- Isn't  she  pretty?

                      =หล่อนไม่ใช่คนสวยเร๊อ?

                   -ตอบแบบสั้น:-Yes, she  is.    

                      =ใช่, หล่อนไม่ใช่คนสวย.

                   -ตอบแบบยาว:- You  may  think  so, but  I  don't.

                      =คุณอาจจะคิดเช่นนั้น,แต่ผมไม่คิด.

                  -คำถามแบบธรรมดา  เช่น:-Will  you  have  some  coffee?

                                                         =คุณจะดื่มกาแฟบ้างไหม?

                  -คำถามแบบปฏิเสธ  เช่น:-Won't  you  have  some  coffee?

                                                        =คุณจะไม่ดื่มกาแฟบ้างหรือ?

                  -คำตอบ:-No,  thank.   =ไม่หละครับ ขอบคุณ.

                                -Yes, thank    =ครับ ขอบคุณ.

            Question words

   Question words  หมายถึง  คำที่ใช้ขึ้นต้นประโยค เพื่อทำให้ประโยคนั้นเป็นคำถาม ซึ่งต้องการให้ผู้ตอบได้ตอบโดยใช้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ประโยคคำถามส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย   " W "  และ   " H "     ได้แก่:-

          -What   ( อะไร )                                       

         -Where ( ที่ไหน )                                  

         -When ( เมื่อไร )

         -Whose     =ของใคร

         -Why   ( ทำไม )                                       

         -Who ( ใคร )                                          

         -Whom ( ใคร )                                         

         -Which ( อันไหน )                                

         -How ( อย่างไร )       

         1.What  ( อะไร )  ใช้กับประโยคต่างๆดังนี้   คือ:-

             1.1ถามเกี่ยวกับสิ่งของ       เช่น:-

                -What is that ?    =นั่นคืออะไร?

                     =It is a toy car.   =มันคือรถยนต์เด็กเล่น.

             1.2ถามเกี่ยวกับอาชีพ       เช่น:-                

                   -What does he do ?    =เขาทำงานอะไร?

                     =He is a teacher.    =เขาเป็นคุณครู.

              1.3ถามเกี่ยวกับเวลา       เช่น:-                  

                   -What time is it ?    =มันเป็นเวลาเท่าไหร่?

                     =It is ten o'clock.   =มันเป็นเวลา 10 นาฬิกา.        

         2.Where ( ที่ไหน ) ใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่       เช่น:-            

             -Where do you live ?    =คุณอยู่ที่ไหน?

                =I live in the city.    =ฉันอยู่ในเมือง.

             -Where are you now ?    =คุณอยู่ที่ไหนขณะนี้?

                =I sit under the big tree.    =ฉันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่.

             -Where do you drive?    =คุณขับรถไปไหน?

               =I drive to the countryside.    =ฉันขับรถไปชนบท.

             -Where is your school?    =โรงเรียนคุณอยู่ที่ไหน?

               =My school is in the village.   =โรงเรียนของฉันอยู่ในหมู่บ้าน.

             -Where do you travel ?     =คุณเดินทางไปไหน?

                =I travel to Nakornpanom.    =ผมเดินทางไปยังนครพนม.         

         3.When  ( เมื่อใด , เมื่อไร )  ใช้ถามเกี่ยวกับเวลา       เช่น:-            

             -When   แปลว่า “ เมื่อไร” คำตอบของ When  จะบอกเวลา เช่น วัน  เดือน  ปี หรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้   

               3.1When + verb to be + noun ?     เช่น :-

                    -When is your birthday ?                                   

                    -It’s on 10 November.

                    -When is Michael’s party ?                                  

                    -It’s on next Friday, at 6 p.m.                

               3.2When + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้  + (กรรม)  ?        เช่น:-

                   -When do you usually have breakfast ?    

                   -I usually have breakfast at 6.30 a.m.

                   -When did you buy this house ?    

                   -I bought it last year.

              3.3When (เมื่อ) ใช้เป็นคำเชื่อม

      เช่น:-

              -You sat it best when you say nothing at all.   =คุณพูดได้ดีที่สุดเมื่อ คุณไม่พูดอะไรเลย.

              -The sky is beautiful when the sun goes down.   =ท้องฟ้าสวยเมื่อพระอาทิตย์ตก.

              -Sing when you’re ready.   =ร้องเพลงเมื่อเธอพร้อม.

              -He arrived when we were sleeping.   =เขามาถึงเมื่อเรากำลังนอนหลับ.

              -We lived in Japan when we were young.    =เราอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเมื่อ เราเป็นเด็ก.

              -We feel cool when the wind blows.   =เรารู้สึกเย็นเมื่อลมพัด.

        3.4When   (เมื่อไหร่) ใช้เป็นคำถาม       เช่น:-

              -When do the Olympic Games start?   กีฬา โอลิมปิก เริ่ม เมื่อไหร่

              -When were you born?   คุณ เกิด เมื่อไหร่

              -When will you come back to Thailand?   คุณ จะ กลับ ไทย เมื่อไหร่

              -When will I see you again!  ผม จะ พบ คุณ อีกครั้ง เมื่อไหร่

              -When will you visit your aunt in America?  คุณจะไปเยี่ยมป้าในอเมริกาเมื่อไหร่

              -When will you go to England?   คุณ จะ ไป อังกฤษ เมื่อไหร่

              -When did it happen?   มัน เกิดขึ้น เมื่อไหร่

              -When is your birthday?   วันเกิด ของคุณเมื่อไหร่

              -When does the school start?   โรงเรียน เปิด เมื่อไหร่

              -When will I find my love?   ฉัน จะ พบ รัก ของฉัน เมื่อไหร่

              -When will you love me?   คุณ จะ รัก ฉัน เมื่อไหร่

       4.Whose แปลว่า “ของใคร” แบ่งวิธีการใช้ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้                      

               4.1Whose + นาม   + กริยา + (กรรม)  ?

   คำนามที่ตามหลัง ถ้ามีรูปเป็นเอกพจน์ คำกริยาก็เป็นเอกพจน์ด้วย แต่ถ้าคำนามเป็น

   พหูพจน์คำกริยาก็จะเป็นพหูพจน์ด้วย       เช่น:-

                  -Whose dog is it ?

                  -It’s Thada’s dog.

                  -Whose books are on the table ?

                  -Their books are on the table.

               4.2 Whose   ทำหน้าที่เป็นกรรม

          Whose + นาม + กริยาช่วย +  ประธาน + กริยาแท้ ?       เช่น:-   

                     -Whose books did you borrow ?   

                     -I borrowed Suda’s books.

                     -Whose house will you rent ?   

                     -I shall rent Malinee’s house.

          5.Why แปลว่า “ ทำไม” “ เพราะอะไร” คำตอบของ  Why  มักใช้คำว่า because (เพราะว่า  เนื่องจาก)

               5.1 Why + verb to be + นาม/ สรรพนาม + adjective  ?     เช่น:-

                      -Why are you happy ?  

                      -I am happy because I get good mark.

                      -Why is your mother angry ?

                      -My mother is angry because I broke a lot of glasses.               

               5.2 Why + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้  + (กรรม)  ?     เช่น:-

                     -Why does the baby cry ? 

                     -The baby cries because it is hungry.

                     -Why does Susan sing ?    

                     -She sings because she is happy.      

         6.How   แปลว่า  “ อย่างไร”  ซึ่งคำตอบของ  how  จะเกี่ยวกับวิธีการ ลักษณะ หรือ อาการต่างๆ

             6.1How + verb to be + นาม/ สรรพนาม ?       เช่น:-

                  -How are you today ?  

                  -I’m fine

                  -How is your father ?

                  -He is better.          

              6.2 How + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้  + (กรรม)  ?   เช่น:-

                  -How do you go to Chiang Mai ?

                  -I go to Chiang Mai by train.

                  -How did you draw this picture ?  

                  -I coppied it.   

              6.3 How  +  adj. + verb to be    + ประธาน        เช่น:-

                  -How old is she ?

                  -She is 16 years old.

                  -How tall is John ?

                  -He is 6 feet tall.               

              6.4. How   +  much + นามนับไมได้ +  กริยาช่วย   + ประธาน   + กริยาแท้  

 เช่น:-

             -How much oil did he buy ?

             -He bought a gallon of oil.

             -many  + นามนับได้พหูพจน์   เช่น:-

             -How many dogs do you have ?

             -I have eleven dogs.

          7.Which แปลว่า “ คนไหน” “ ตัวไหน” หรือ “ อันไหน” เป็นได้ทั้งประธาน และกรรมของกริยา  ใช้ได้กับคนสัตว์และสิ่งของ 

              7.1.เมื่อทำหน้าที่เป็นประธาน

                  -Which   + กริยา + กรรม ? หรือ  Which  + นาม/สรรพนาม + กริยา + กรรม ? หรือ        

       Which of + นาม/สรรพนาม + กริยา + กรรม ?      เช่น:-

                 -Which is yours ?

                 -The red one is mine.

                  -Which book is hers ?

                  -The blue one is hers.

                  -Which of the boys is smart ?  

                  -Tom is smart.              

                7.2.เมื่อทำหน้าที่เป็นกรรม                                   

                  -Which   + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้  ?  หรือ                                    

            Which  + นาม/สรรพนาม + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้  ?  หรือ

            

            Which of + นาม/สรรพนาม + กริยา ช่วย+ ประธาน + กริยาแท้  ?  

               -เช่น:-

                      -Which do you live most ?

                      -I live the red one most.

                      -Which book do you want to buy ?  

                      -I want to buy a cartoon book.

                      -Which of the girls is the most beautiful ?    

                      -Wipa is the most beautiful.

            8.Whom  มีความหมายว่า ใคร ใช้ถามถึงบุคคลและใช้เป็นกรรม (object) หรือผู้ถูกกระทำของประโยค   โดยมีรูปแบบประโยคดังต่อ

ไปนี้ 

           โครงสร้างประโยคคำถาม

   -Whom  +  helping verb  +  subject  +  Verb?

    =กริยาช่วย  +  ประธาน  +  กริยาแท้

           โครงสร้างประโยคคำตอบ

   -ประธาน + (กริยา) + ส่วนขยาย.      เช่น:-

           -ประโยคคำถาม A: Whom do they meet ?

           -ประโยคคำตอบ A: They meet their friends. 

           -ประโยคคำถาม B:  Whom are you waiting for?

           -ประโยคคำตอบ B: I am waiting for my mother. 

           -ประโยคคำถาม C: Whom does she  go with?

           -ประโยคคำตอบ C:  She goes with her son.

           -ประโยคคำถาม D: Whom are you speaking to?

           -ประโยคคำตอบ:D: I am speaking to my students.                                                                                                            

      **ข้อสังเกต:- เรานิยมใช้ "Who" แทน "Whom" ได้

           -คำว่า  Who  เราจะคุ้นเคยว่า คำนี้แปลว่า ใคร แต่จริงๆแล้วมันสามารถนำไปใช้เชื่อมประโยคได้ด้วย ซึ่งถ้าทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมจะ

แปลว่า ผู้ที่  Who (ใคร) ใช้เป็นคำถาม   เช่น:-

                  -Who is that?   =นั่นคือใคร?

                  -That is John.   =นั่นคือจอห์น.

                   -Who came to school yesterday.  =ใครมาโรงเรียนเมื่อวาน?           

                  -Jo did.  =โจมา. (งงกับคำตอบไหม ถ้างงเดี๋ยวค่อยไปเรียน  past simple tense)

                  -Who are they?  =พวกเขาเป็นใคร?             

                  -They are my parents.   =พวกเขาเป็นพ่อแม่ของฉัน.

                   -Who ate my cake?   =ใครกินเค้กของฉัน?            

                  -He did.   =เขากิน. (งงกับคำตอบไหม ถ้างงเดี๋ยวค่อยไปเรียน past simple tense)

                   -Who wants the money?   =ใครต้องการเงิน.            

                   -Jane does.   =เจนต้องการ   (งงกับคำตอบไหม ถ้างงเดี๋ยวค่อยไปเรียน present simple tense)

                   -Who is the richest man in Thailand?   =ใครคือบุรุษที่รวยที่สุดในไทย.            

                  -Mr. Rich is.   นายริช เป็น

                  -Who (ผู้ที่) ใช้เป็นคำเชื่อม

       คำว่า ผู้ที่ บางครั้งแปลว่า ใคร ก็ได้ ในบางประโยค      เช่น:-

       -He is the man who came here yesterday.   =เขาคือผู้ชายผู้ที่มาที่นี่เมื่อวาน.

       -That is the girl who gave me the pencil.   =นั่นคือผู้หญิงผู้ที่ให้ดินสอแก่ฉัน.

       -This is my best friend who always helps me. =นี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันผู้ที่ช่วยฉันสมอ.

       -I don’t know who she is. =ผมไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร.

       -I know who that boy is. =ผมรู้ว่าเด็กชายคนนั้นเป็นใคร.

       -I don’t care who that man is. =ผมไม่สนว่าชายคนนั้นเป็นใคร.

โพสต์ที่นิยม