Sentence

https://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/sentence-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD/
Sentense
Sentense (เซนเทนซ์) แปลว่า “ประโยค” ประโยคในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ:-
1.Simple sentence (ซิมเพิล เซนเทนซ์) แปลว่า “ประโยคธรรมดา”
2.Compound sentence (คอมเพานด์ เซนเทนซ์) แปลว่า “ประโยคผสมกัน”
3.Complex sentence (คอมเพลคซ์ เซนเทนซ์) แปลว่า “ประโยคเชิงซ้อน”
รูปโครงสร้างของประโยค
1.ประโยคบอกเล่า
-ประโยคบอกเล่า แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.1ประโยคไม่มีกรรมคือ: subject + verb เช่น:-
-My mother is kind.
=แม่ฉันใจดี.
-Thanisa lives in Grungtep.
=ธนิสาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ.
-She is a Thai.
=หล่อนเป็นคนไทย.
1.2 ประโยคที่มีกรรมคือ: subject + verb + object เช่น:-
-He loves her.
=เขารักเธอ.
-We learn English language at the school.
=พวกเราเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน.
-Weeratep kicks a football.
=วีรเทพเตะฟุตบอล.
2.ประโยคปฏิเสธ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
2.1 ประโยคปฏิเสธแบบไม่มีกรรม คือ: subject + verb ช่วย + not + He verb ช่องที่ 1 เช่น:-
-He does not go to school.
=เขาไม่ไปโรงเรียน.
-She is not a Thai.
=หล่อนไม่ใช่คนไทย.
-We shall not live here.
=พวกเราจะไม่อยู่ที่นี่.
2.2 ประโยคปฏิเสธแบบมีกรรม คือ: subject + verb ช่วย + not + verb ช่องที่ 1 + object เช่น:-
-He does not love me.
=เขาไม่รักฉัน.
-We do not like a dog.
=พวกเราไม่ชอบสุนัข.
-They do not like to learn a book.
=พวกเขาไม่ชอบเรียนหนังสือ.
3.ประโยคคำถาม แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ:-
3.1ประโยคคำถามแบบไม่มีกรรม คือ: verb ช่วย + subject + verb ช่องที่ 1 + ? เช่น:-
-Are you a Thai?
=คุณเป็นคนไทยหรือ?
-Do you come from England ?
=คุณมาจากประเทศอังกฤษหรือ?
-Does your elder sister go to work ?
=พี่สาวของคุณไปทำงานหรือ?
3.2 ประโยคคำถามแบบมีกรรม คือ: verb ช่วย + subject + verb ช่องที่ 1 + object + ? เช่น:-
-Do you like to eat a mango?
=คุณชอบกินมะม่วงไหม?
-Does she love him ?
=หล่อนรักเขาหรือ?
-Do they learn English every day ?
=พวกเขาเรียนภาษาอังกฤษทุกวันหรือ?
3.3 ประโยคคำถามที่นำหน้าด้วย question word คือ: question word + verb ช่วย + subject + verb ช่องที่ 1 + (กรรมถ้ามีกรรม)
เช่น:-
-How long do you live in Thailand ?
=คุณอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานแค่ไหน ?
-When will she come back ?
=เมื่อไหร่หล่อนจะกลับมา?
-What are you doing ?
=คุณกำลังทำอะไร?
-Which of those houses do you live in?
=บรรดาบ้านทั้งหลายเหล่านั้นหลังไหนที่คุณอาศัยอยู่?
-Which of you want tea and which want lemonade?
=คุณต้องการชาชนิดไหนและคุณต้องการน้ำมะนาวชนิดไหน?
**หมายเหตุ:-
-ประโยคคำถามที่มี verb to be, verb to have, และ shall, should, will, would may, might อยู่แล้วเวลาทำให้เป็นประโยคคำถามไม่ต้องมีกิริยาช่วยเข้ามาช่วยอีกเพราะกิริยาทั้งหลายเหล่านี้เป็นได้ทั้งกิริยาแท้และกิริยาช่วยอยู่ในตัวอยู่แล้ว
ก่อนจะอธิบายประโยคทั้งสามให้แจ่มแจ้ง ข้าพเจ้าจะอธิบายเรื่องของโครงสร้างของประโยคเสียก่อน เมื่อท่านผู้ศึกษาทั้งหลายเข้าใจเรื่องของโครงสร้างของประโยคดีแล้ว ประโยคทั้ง 3 ที่กล่าวมาแล้วนั้นก็จะเข้าใจได้โดยง่าย โครงสร้างของประโยคแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ:-
1.ลักษณะโครงสร้างของประโยคการบอกเล่า เช่น:-
-Today I go to school.
=วันนี้ฉันไปโรงเรียน.
-Torrow she will go home.
=วันพรุ่งนี้หล่อนจะไปบ้าน.
-I get up 6.00 o’clock in the morning every day.
=ผมตื่นนอนเวลา 6 โมงเช้าทุกวัน.
2.ลักษณะโครงสร้างของประโยคคำถาม เช่น:-
-Where are you going?
=คุณกำลังจะไปไหน?
-How old are you?
=คุณอายุเท่าไหร่?
-What are you doing?
=คุณกำลังทำอะไร?
-Will you come back tomorrow?
=คุณจะกลับมาในวันพรุ่งนี้หรือ?
3.ลักษณะของประโยคการออกคำสั่ง, การขอร้อง, และการวิงวอน
-ตัวอย่างประโยคการออกคำสั่ง เช่น:-
-Keep quite
=จงเงียบ.
-Don’t smoke
=ห้ามสูบบุหรี่.
-Don’t walk Shortcut field
=ห้ามเดินลัดสนาม
-ตัวอย่างประโยคการขอร้อง เช่น:-
-Please keep clean
=กรุณารักษาความสะอาด
-Please clean
=โปรดทำความสะอาด
-Please don't cry
=โปรดอย่าร้องไห้
-ตัวอย่างประโยคการวิงวอน เช่น:-
-Please, do but goodness.
=กรุณากระทำแต่ความดี.
-May you come back soon.
=ขอให้คุณกลับมาเร็วๆ.
-Please give it to me.
=กรุณาให้มันแก่ฉัน.
-Would you please give me your love ?
=กรุณามอบความรักของคุณให้ฉันหน่อยได้ไหม?
4.ลักษณะของประโยคคำอุทาน เช่น:-
-How beautiful you are !
=คุณสวยจริงๆ.
-There's the bus comes !
=นั่นรถมาแล้ว !
-It is good really !
=มันดีจริงๆ !
ลำดับต่อไปนี้จะได้ทำการอธิบายประโยคทั้ง 3 ที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้อย่างแจ่มแจ้งและเข้าใจนำเอาไปใช้เป็นแบบ
อย่างในการเขียนและการพูดภาษาอังกฤษที่ดีต่อไป
Simple Sentense
-Simple sentense แปลว่า "ประโยคธรรมดา" คือประโยคที่มีประธานและกิริยาเป็นตัวแสดงก็สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้แล้ว เช่น:-
-Thanisa strolls.
=ธนิสาเดินเล่น.
-Wannipa goes to school.
=วรรณิภาไปโรงเรียน.
-Wanchai sits leisurely.
=วันชัยนั่งเล่น.
-Simple sentense แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.ประโยคที่มีกรรม โครงสร้างของประโยคคือ: subject + verb + object เช่น:-
-Chanisa eats a mango.
=ชนิสากินมะม่วง.
-Apichai makes homework.
=อภิชัยทำการบ้าน.
-Wanvisa sews clothes.
=วันวิสาเย็บเสื้อผ้า.
2.ประโยคที่ไม่มีกรรม โครงสร้างของประโยค คือ: subject + verb เช่น:-
-Girl cries.
=เด็กหญิงร้องไห้.
-We travel global.
=พวกเราท่องเที่ยวไปทั่วโลก.
-People enjoy in Songgran day.
=ประชาชนสนุกสนานในวันสงกรานต์.
Compound Sentense
-Compound sentense แปลว่า "ประโยครวมกัน" คือการเอาประโยค 2 ประโยคมารวมเป็นประโยคเดียวกัน โดยการใช้สันธานเป็น
ตัวเชื่อม
-Compound sentense แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.Non decreasing compound =ประโยครวมกันที่ไม่ลดรูป
2.Decreasing compound =ประโยครวมกันที่ลดรูป
ตัวอย่างประโยครวมกันที่ไม่ลดรูป
-ประโยคที่หนึ่ง: I go to see Wannipa. =ฉันไปพบวรรณิภา.
-ประโยคที่สอง: I borrow her some money. =ฉันขอยืมเงินเธอ.
-ประโยครวม: I go to see Wannipa and I borrow her some money. =ฉันไปพบวรรณิภาและฉันก็ยืมเงินของเธอ.
-ประโยคที่หนึ่ง: Wanvisa eats rice less. =วันวิสากินข้าวน้อย.
-ประโยคที่สอง: I eat rice much. =ฉันกินข้าวมาก.
-ประโยคไม่ลดรูป: Wanvisa eats rice less but I eat rice much. =วันวิสากินข้าวน้อยแต่ฉันกินข้าวมาก.
ตัวอย่างประโยครวมกันที่ลดรูป
-ประโยคที่หนึ่ง: I go to see the circus. =ผมไปดูลครสัตว์.
-ประโยคที่สอง: Chanisa goes to see the circus. =ชนิสาไปดูลครสัตว์.
-ประโยครวมลดรูป: I and Chanisa go to see circus.
-การลดรูปทำให้ประโยคสั้นลงดูกระชับขึ้น
-คำสันธานที่ใชัใน Compound sentense คือ:-
-and =และ
-both =ทั้งสอง
-both...and =ทั้งสอง...และ
-not only...but also =ไม่ใช่...แต่ต้องเหมือนกัน
-as well as =เท่าที่
-when =เมื่อไหร่
-whenever =เมื่อไหร่ก็ตาม
-wherever =ที่ไหนก็ตาม
ประโยคตัวอย่าง
-I and you have to go there today.
=ผมและคุณต้องไปที่นั้นในวันนี้.
-She finished eating and went back.
=เธอกินเสร็จแล้วและก็เดินกลับไป.
-You are both kind and sincere.
=คุณทั้งใจดีและจริงใจ.
-you are not only beautiful but kind also.
=คุณไม่เพียงสวยงามเท่านั้นแต่ก็ยังใจดีอีกด้วย.
-I will make good as well as you make.
=ฉันจะทำดีเช่นเดียวกับคุณทำ.
-I shall go when you came back.
=ฉันจะไปเมื่อคุณกลับมาแล้ว.
-You may leave whenever you wish.
=คุณอาจจะลาจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คุณต้องการ.
-We can have lunch wherever you like.
=พวกเราสามารถรับประทานอาหารกลางวันที่ไหนก็ได้ตามที่คุณชอบ.
-ยังมีคำสันธานอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า "Adversative" คือที่แปลว่า "สวนกัน, แยกกัน, ตรงกันข้าม" เช่น:-
-but = แต่
-still = ยังคง, ถึงกระนั้น
-yet =ยังเลย
-nevertheless (เน็ฟเว่อร์เธลเลส) =ไม่กว่านั้น
-however =จะอย่างไรก็ตาม, แต่ทะว่า, เสียแต่ว่า, เท่าที่
-or else (ออร์ เอลส์) =ไม่เช่นนั้น
-unless (อันเลส) =เว้นแต่, จนกว่า, นอกจาก
ประโยคตัวอย่าง
-I am slow but sure.
=ผมช้าแต่ก็แน่ใจ.
-She still lives there.
=หล่อนยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น.
-I worked very hard still I could not rich.
=ผมทำงานหนักมากถึงกระนั้นผมก็ยังไม่รวย.
-He is very rich yet he is unhappy.
=เขาร่ำรวยมากแต่เขาก็ยังไม่มีความสุข.
-I was very tired, but I was nevertheless unable to sleep.
=ผมเหนื่อยมากแต่ผมก็ยังคงไม่สามารถที่จะนอนหลับ.
-I will help however I can.
=ฉันจะช่วยเหลือเท่าที่ฉันสามารถช่วยได้.
-Arrange your hours however you like.
=จงจัดแจงชั่วโมงของคุณเท่าที่คุณชอบ.
-You have to leave or else you will be arrested for trespassing.
=คุณจะต้องออกไปมิเช่นนั้นคุณจะถูกจับในข้อหาบุกรุก.
-I won't have an operation unless surgery is absolutely necessary.
=ฉันจะไม่มีการดำเนินการเว้นแต่ว่าการผ่าตัดเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง.
-ยังมีคำสันธานประเภทให้เลือก เช่น:
-or =หรือ
-either....or =ใช่....ทั้งสอง
-neither....nor =ไม่....ทั้งสอง
-else =อื่น
-otherwise =มิฉะนั้น
ประโยคตัวอย่าง
-You or I have to go there.
=คุณหรือฉันจะต้องไปที่นั้น.
-You can either go or stay.
=คุณสามารถไปหรืออยู่.
-I neither know nor care.
=ฉันไม่รู้ว่าไม่ได้ดูแล.
-We decided to go someplace else for dinner.
=พวกเราตัดสินใจที่จะไปที่บางแห่งอื่นสำหรับอาหารเย็น.
-Do what you are told otherwise you will be punished.
=จงทำสิ่งที่คุณพูดมิฉะนั้นคุณจะถูกลงโทษฬ
-คำสันธานประเภทเหตุผลแก่กันและกัน เช่น:-
-for =เพราะ, ด้วยว่า
-so =ดังนั้น, เผื่อ, ถ้า, เพื่อ
-therefore =ดังนั้น, ด้วยเหตุนี้, ด้วยเหตุฉะนี้, เพราะเหตุนี้
-consquently =ดังนั้น, จึง, เพราะฉะนั้
ประโยคตัวอย่าง
-They were certainly there, for I saw them.
=พวกเขาอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอนด้วยว่าฉันเห็นพวกเขา.
-We were bored with the movie, so we left.
=พวกเราเบื่อหนังเรื่องนี้ดังนั้นพวกเราจึงได้หนีไป.
-The cell phone is thin and light and therefore very convenient to carry around.
=โทรศัพท์มือถือบางและเบาและดังนั้นจึงสะดวกสบายต่อการพกพา.
-Directors know flexibility consequently they get high wages.
=กรรมกรทั้งหลายรู้จักการยืดหยุ่นดังนั้นพวกเขาจึงได้รับค่าจ้างสูง.
Complex Sentense
-Complex sentense คือประโยคผสมกัน เช่น:-
-ประโยคที่หนึ่ง: This is a lady. =นี้คือสุภาพสตรี.
-ประโยคที่สอง: Who I love her. =ซึ่งฉันรักเธอ.
-ถ้าเอาประโยคทั้งสองมาผสมกันเข้าก็จะได้รูปประโยคดังนี้
-This is a lady who I love her.
=นี้คือสุภาพสตรีที่ผมรักเธอ.
-เมื่อเชื่อมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีความหมายที่ดีมาก
ลักษณะของประโยคที่ผสมกัน
1.Principal Clause (พรินซิพัล คลอซ) คือมุขยประโยค
2.Suborninate Clause (ซับบอร์นิเนท คลอซ) คืออนุประโยค
-อนุประโยคแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ:-
1.Adjective clause (แอดเจคทีฟว์ คลอซ) คืออนุประโยคคุณศัพท์
2.Adverb clause (แอดเวิร์บ คลอซ) คืออนุประโยคกิริยาวิเศษณ์
3.Noun clause (นาม คลอซ) คืออนุประโยคคำนาม
อนุประโยคคุณศัพท์
-คำที่ใช้เชื่อมต่อในอนุประโยคคุณศัพท์มี 14 ตัว คือ:
-who เป็นสรรพนาม แปลว่า "ใคร, ผู้ซึ่ง"
-whom เป็นสรรพนาม แปลว่า "ผู้ซึ่ง"
-whose เป็นสรรพนาม แปลว่า "ของใคร, ผู้ใด"
-which =ที่, ซึ่ง, ใด, ไหน, อันไหน
-that =ที่, ว่า, ซึ่ง, เพราะ, กระนั้
-as =เช่น, ตาม, เหมือน, เนื่องจาก, ราวกับ, เพราะ, ประหนึ่ง
-such the same =เช่นเดียวกัน
-but =แต่, แต่ว่า
-who...not =ที่...ไม่ได้
-which...not =ซึ้ง...ไม่ได้
-where =ที่ไหน, ตรงไหน, สถานที่, ตรงที่, แห่งใด
-when =เมื่อไหร่, เมื่อ, ตอน, เวลา, ครั้น, ตอนที่, ขณะที่
-why =ทำไม, ไฉน, เพราะเหตุใด
-how = อย่างไร, อย่างไง, เช่นใด, วิธี
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ who เชื่อม
-I didn't know who he was. (ไม่ใส่ ? )
=ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร.
-I didn't know. เป็นมุขยประโยค
-Who he was. เป็นอนุประโยค
-The woman who is standing there is my wife.
=ผู้หญิงผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นเป็นภรรยาผม.
-The woman is my wife. เป็นมุขยประโยค
-Who is standing there. เป็นอนุประโยค
-I know who she is where comes from. (ไม่ใส่ ? )
=ฉันรู้ว่าหล่อนเป็นใครมาจากไหน.
-I know. เป็นมุขยประโยค
-Who she is where comes from. เป็นอนุประโยค
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whom เชื่อม
-I was introduced to the artist, whom I was anxious to meet.
=ผมถูกแนะนำต่อศิลปินผู้ซึ่งผมกระตือรือร้นที่จะพบ.
-He was an author whom I had never heard.
=เขาเป็นนักประพันธ์ผู้ที่ฉันไม่เคยได้ยิน.
-Her brother, whom I met last year, is an attorney.
= พี่ชายของเธอผู้ที่ผมพบเมื่อปีที่แล้วเป็นทนายความ.
ประโยคตัวอย่างการใช้ whose เชื่อม
-I wonder whose story was chosen.
=ฉันประหลาดใจว่าเรื่องของใครจะถูกเลือก.
-The prize will go to the writer whose story shows the most imagination.
=รางวัลจะไปถึงผู้เขียนซึ่งเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นจินตนาการมากที่สุด.
-The book whose cover is torn
=หนังสือเล่มนี้ซึ่งมีปกถูกฉีกขาด.
-I know the man whose car is red.
=ฉันรู้จักผู้ชายซึ่งรถของเขามีสีแดง.
-That is the girl whose house is very big.
=นั่นคือผู้หญิงซึ่งบ้านของหล่อนใหญ่มาก.
-I don’t care whose car is this.
=ผมไม่สนว่ารถคันนี้เป็นของใคร.
-I don’t know whose pen is on the table.
=ผมไม่รู้ว่าปากกาของใครอยู่บนโต๊ะ.
Whose:
การใช้ whose ก็คล้ายกับการใช้ his, her แสดงความเป็นเจ้าของ โดยใช้กับคนหรือสิ่งของ
-That is the man whose house we saw just now.
=นั่นคือคนที่มีบ้านที่เราเห็นเพียงแค่ตอนนี้.
-Is there anybody here whose name hasn’t been called?
=มีใครที่นี่ที่ชื่อยังไม่ได้รับการเรียกหรือ?
-He quarrels with everybody whose ideas are not exactly the same as his own.
=เขาทะเลาะกับทุกคนที่มีความคิดที่ไม่ตรงเช่นเดียวกับตัวเขาเอง.
-The ship, whose design was inspired by the Titanic, was built many years after the accident.
=เรือที่มีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไททานิคถูกสร้างขึ้นหลายปีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ.
-เมื่อใช้กับสิ่งของเรามักจะใช้ of which แทน เช่น:-
-Last night he sang a song, the name of which I couldn’t remember.
=คืนสุดท้ายที่เขาร้องเพลงชื่อของเพลงที่ฉันจำไม่ได้.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ which เชื่อม
-He knew which people had paid and which hadn't.
=เขารู้ว่าประชาชนคนไหนได้รับการจ่ายและคนไหนไม่ได้รับการจ่าย.
-Which tie should I wear, the red one or the green one?
=ผมจะสวมใส่เน็คไทอันไหนสีแดงหรือสีเขียวหรือ?
-Which way should we turn at the stoplight?
=พวกเราจะกลับทางไหนที่ไฟจอดรถ.
-Choose which style you like best.
=จงเลือกแบบที่คุณชอบที่สุด.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ that เชื่อม
-She likes shirts that I buy for her.
=เธอชอบเสื้อที่ผมซื้อให้เธอ.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ as เชื่อม
-Various trees, as oaks and pines have in this forest.
=ต้นไม้นานาชนิดเช่นต้นโอ๊กและต้นต้นสนมีในป่านี้.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ such the same เชื่อม
-He is learning English such the same with her.
=เขากำลังเรียนภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับเธอ.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ but เชื่อม
-I don't know her, but my husband does.
=ฉันไม่รู้จักเธอแต่สามีของฉันรู้.
-We had no choice but to leave.
=ฉันไม่มีทางเลือกมีแต่จะออกไป.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ who...not เชื่อม
-He has a friend who his parent is not like.
=เขามีเพื่อนคนหนึ่งที่พ่อแม่ของเขาไม่ชอบ.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ which...not เชื่อม
-She has a red pen which can not use to write a book.
=เธอมีปากกาสีแดงซึ่งไม่สามารถเขียนใช้หนังสือได้.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ where เชื่อม
-She doesn't know where he is going.
=หล่อนไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหน.
-It doesn't matter to me where we eat.
=มันไม่สำคัญต่อฉันตรงที่พวกเรารับประทาน.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ when เชื่อม
-You can go when the bell rings.
=คุณไปได้เมื่อระฆังดังขึ้น.
-Call me when you get home.
=จงเรียกฉันเมื่อคุณมาถึงบ้าน.
-Things were better when he got a job.
=สิ่งที่ดีขึ้นเมื่อเขาได้งานทำ.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ why เชื่อม
-I know why he did it.
=ฉันรู้ว่าทำไมเขาจึงทำมัน.
-It's easy to see why she fell in love with him.
=มันง่ายที่จะดูว่าทำไมหล่อนจึงตกหลุมรักเขา.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ how เชื่อม
-She told us how she had to work hard.
=หล่อนบอกพวกเราถึงวิธีที่หล่อนทำงานหนัก.
-He knows how you are a valued employee.
=เขารู้ถึงวิธีที่คุณเป็นลูกจ้างที่มีค่า.
-It's amazing how they completed the bridge so quickly.
=มันน่าพิศวงถึงวิธีที่พวกเขาทำสพานให้สำเร็จอย่างรวดเร็วมาก.
Adverb Clause
-adverb clause คืออนุประโยคกิริยาวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ:-
1.Adverb clause of time คืออนุประโยคของกาลเวลา
2.Adverb clause of place คืออนุประโยคของสถานที่
3.Adverb clause of reason คืออนุประโยคของเหตุผล
4.Adverb clause of condition คืออนุประโยคของเงื่อนไข
5.Adverb clause of conversion คืออนุประโยคของการขัดแย้งกัน
6.Adverb clause of comparison คืออนุประโยคของการเปรียบเทียบ
7.Adverb clause of result คืออนุประโยคของผลลัพธ์
อนุประโยคของการเวลา
-อนุประโยคของกาลเวลา ใช้คำสันธานในการเชื่อต่อ 10 ตัว คือ:-
1.when =เมื่อ
2.whenevr =เมื่อไรก็ตาม
3.while =ขณะที่
4.before =ก่อน
5.after =ภายหลัง
6.as =ตามที่
7.since =หลังจาก,เนื่องจาก, ตั้งแต่
8.untill = จนกระทั่ง, ต่อเมื่อ
9.as soon as =นานเท่าที่
10.no sooner...than =ไม่นานเกินกว่า
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ when เชื่อม
-I loved science subjects when I was at school.
=ฉันรักวิชาวิทยาศาสตร์เมื่อฉันอยู่ที่โรงเรียน.
-She is in the home when I leave come.
=หล่อนอยู่ในบ้านเมื่อผมออกมา.
-come เป็น infinitive without to
-When I learn the book, she works.
=เมื่อผมเรียนหนังสือ, หล่อนก็ทำงาน.
-when วางไว้ต้นประโยคก็ได้ คำเชื่อมตัวอื่นๆก็ให้ดู when เป็นตัวอย่าง
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whenevr เชื่อม
-You may leave whenever you wish.
=คุณอาจจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คุณปราถนา.
-Whenever he leaves the house he always takes an umbrella.
=เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาออกจากบ้านเขาจะนำร่มไปด้วยเสมอ.
-The teacher welcomes originality whenever it is shown.
=ครูยินดีตอนรับความคิดริเริ่มใหม่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกแสดงออกมา.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ while เชื่อม
-Someone called while you were out.
=บางคนเรียกในขณะที่คุณออกมา.
-You can get the photos developed while you wait.
=คุณสามารถรับเอาภาพถ่ายที่พัฒนาในขณะที่คุณรอ.
-The phone rang while I was doing the dishes.
=โทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ฉันกำลังทำอาหาร.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ before เชื่อม
-He left long before morning came.
=เขาจากไปนานแล้วก่อนที่เวลาเช้าจะมาถึง.
-The judge stood up before the defendant did.
=ผู้พิพากษายืนขึ้นก่อนที่จำเลยจะดำเนินการ.
-Say goodbye before you go.
=จงพูดว่า "ลาก่อน" ก่อนที่คุณจะไป.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ after เชื่อม
-He returned after 20 years had passed.
=เขากลับมาหลังจาก 20 ปีได้ผ่านไปแล้ว.
-The defendant stood up after the judge did.
=จำเลยยืนขึ้นหลังจากผู้พิพากษาดำเนินงาน.
-Don't tell them until after they've had dinner.
=อย่าบอกพวกเขาจนกระทั่งหลังจากพวกเขาได้รับประทานอาหารเย็นแล้ว.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ as เชื่อม
-George did business in the same manner as his father did.
=จอร์จทำธุรกิจในลักษณะเช่นเดียวกันกับพ่อเขาทำ.
-Jody looks as she had seen a ghost.
=จูดี้ดูเหมือนว่าเธอได้เห็นผี.
-Pornchai speaks English well as he is a British.
=พรชัยพูดภาษาอังกฤษได้ดีราวกับว่าเขาเป็นชาวอังกฤษคนหนึ่ง.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ since เชื่อม
-We've played better since you joined the team.
=พวกเราเล่นดีกว่าตั้งแต่คุณเข้ามาร่วมทีม.
-He has had two jobs since he graduated.
=เขาได้มีงานสองงานตั้งแต่เขาจบการศึกษา.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ untill เชื่อม
-We played until it got dark.
=พวกเราเล่นจนกว่ามันจะมีสีเข้มขึ้น.
-Wait until I call.
=จงรอจนกระทั่งฉันเรียก.
-Keep going until I tell you to stop.
=จงเก็บไปจนกว่าฉันฉันจะบอกให้คุณหยุด.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ as soon as เชื่อม
-The fabric was as soft as silk.
=เนื้อผ้าหนุมเท่ากับไหม.
-He is every bit as clever as she is.
=เขาฉลาดน้อยมากเท่ากับหล่อน.
-There are as many books here as there.
=มีหนังสืออยู่หลายเล่นที่นี้เท่ากับที่นั้น.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ no sooner...than
-The party had no sooner started than it began to rain.
=งานเลี้ยงได้เริ่มต้นในไม่ช้ากว่าฝนก็เริ่มตก.
-My job is no sooner work than you will come.
-No sooner said than done =ไม่พูดนานเกินกว่าทำ
-she had no sooner spoken than the telephone rang.
=หล่อนไม่พูดนานเกินกว่าโทรศัพท์ดังขึ้น.
อนุประโยคของสถานที่
-อนุประโยคของสถานที่ คำสันธานที่ใช้ในการเชื่อมมี 4 ตัว คือ:-
1.where (แวร์) แปลว่า "ซึ่งที่"
2.wherever (แวร์เอฟเวอร์) แปลว่า "ที่ใดก็ตาม"
3.whence (เวนซฺ) แปลว่า "เมื่อ"
4.whither (วิธเธอร์) แปลว่า "ที่ใดก็ตาม"
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ where เชื่อม
-Please stay where you are.
=กรุณาพักตรงที่ๆคุณอยู่.
-We sat down where there was some shade.
=พวกเรานั่งลงตรงที่ๆมีร่ทเงาบาง.
-He put the note where she could easily see it.
=เขาใส่เครื่องหมายเหตุตรงที่หล่อนจะเห็นมันได้ง่าย.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ wherever เชื่อม
-We can have lunch wherever you like.
=พวกเราสามารถรับประทานอาหารกลางวันที่ใดก็ได้ตามที่คุณชอบ.
-I will follow you, whenever you go.
=ฉันจะติดตามคุณไปที่ใดก็ได้ที่คุณไป.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whence เชื่อม
-They returned to the land whence they came.
=พวกเขากลับไปสู่ดินแดนที่พวกเขามา.
-He told whence he came.
=เขาบอกเมื่อเขามา.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whither เชื่อม
-Let him go whither he will.
=จงปล่อยเขาไปยังที่ๆเขาจะไป.
-She lived in Bangkok twenty years whither she didn't has a house as herself.
=หล่อนอาศันอยู่ในกรุงเทพฯ 20 ปี ที่ใดก็ตามหล่อนก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง.
อนุประโยคของเหตุผล
-อนุประโยคของเหตุผลใช้คำเชื่อมอยู่ 3 คำ คือ:
1.because (บีคลอส) แปลว่า "เพราะ, เพราะว่า, ด้วยว่า"
2.as (แอส) แปลว่า "เช่น, ตาม, เหมือน, เพราะ, ประหนึ่ง, เนื่องจาก, ราวกับ"
3.since (ซินซฺ) แปลว่า "ตั้งแต่, เมื่อ, เนื่องจาก, เป็นเวลา, นับตั้งแต่"
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ because เชือม
-I didn't buy it because it is very expensive.
=ฉันไม่ซื้อมันเพราะมันราคาแพงมาก.
-As he was not at home, I spoke with his wife.
=เพราะเขาไม่อยู่บ้านผมจึงพูดกับภรรยาของเขา.
-Since you like that, I must do follow.
=เนื่องจากคุณชอบเช่นนั้นผมก็ต้องทำตาม.
อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเงื่อนไข
-อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเงื่อนไขใช้คำเชื่อมอยู่ 2 คำ คือ:-
1.if (อิ๊ฟ) แปลว่า "ถ้า, หาก, แม้ว่า"
2.unless (อันเลส) แปลว่า "เว้นแต่, ยกเว้น, นอกจาก"
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ if เชื่อม
-If you come today, you will see me.
=ถ้าคุณมาวันนี้คุณจะพบฉัน.
-I will go if you will come.
=ฉันจะไปถ้าคุณจะมา.
-It is impossible unless you will not make it.
=มันเป็นไปได้นอกเสียแต่ว่าคุณจะไม่ทำมัน.
-Unless today other day possible all.
=ยกเว้นวันนี้วันอื่นเป็นไปได้ทั้งหมด.
อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของข้อยินยอม
-อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของข้อยินยอมใช้คำเชื่อม 5 ตัว คือ:-
1.though (โธ) แปลว่า "ถึงแม้ว่า"
2.although (ออลโธ) แปลว่า "แม้น, ถึงแม้ว่า, แม้ว่า, แม้"
3.even if (อีเวน อิ๊ฟ) แปลว่า "แม้ว่า"
4.however (เฮาเอฟเวอร์) แปลว่า "อย่างไรก็ตาม"
5.whatever (วอทเอฟเวอร์) แปลว่า "อะไรก็ได้"
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ though และ although เชื่อม
-Though I am poor, I am happy.
=ถึงแม้ว่าผมจนผมก็มีความสุข.
-She seemed healthy, though she is thin.
=หล่อนดูเหมือนว่ามีสุขภำพดีถึงแม้ว่าหล่อนจะผอม.
-I think his name is John, although I'm not completely sure about that.
=ฉันคิดถึงชื่อของเขาคือจอห์นแม้นว่าฉันยังไม่แน่ใจอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับชื่อนั้น.
ประโยตตัวอย่างที่ใช้ even if เชื่อม
-I'm going to the party even if it rains.
=ผมจะไปงานเลี้ยงแม้ว่าฝนตกก็ตาม.
-Even if I shall be poor, I am a good man.
=แม้ว่าผมจะยากจนผมก็เป็นคนดี.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ however เชื่อม
-I'd like to go; however, I'd better not.
=ฉันต้องการที่จะไปอย่างไรก็ตามฉันควรจะไม่ไปดีกว่า.
-However rich you may be, you can not buy the moon.
=ถึงแม้คุณอาจจะเป็นคนรวยคุณก็ไม่สามารถซื้อดวงจันทร์ได้.
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ whatever เชื่อม
-She will buy the painting at whatever price.
=หล่อนจะซื้อภาพวาดที่มีราคาเท่าไหร่ก็ได้.
อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์การเปรียบเทียบ
-อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์การเปรียบเทียบใช้คำเชื่อม 4 ตัว คือ:-
1.more.....than =มากกว่า
2.than =กว่า
3.as......as =เท่า, เทียบเท่า
4.as =เช่น, เพราะ, ตาม, เนื่องจาก
ประโยคตัวอย่างที่ใช้ คำสันธาน เชื่อม
-She sings more good than I.
=หล่อนร้องเพลงดีกว่าฉัน.
-He speaks English better than I.
=เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าฉัน.
-We do job as well as our friends.
=พวกเราทำงานดีเท่ากับเพื่อนของพวกเรา.
-She is not so clever as I think.
=หล่อนไม่ได้ฉลาดมากอย่างที่ฉันคิด.
อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์เพื่อวัตถุประสงค์
-อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์เพื่อวัตถุประสงค์ใช้คำเชื่อม 3 คำ คือ:-
1.that =ที่, ว่า, ซึ่ง
2.so that =ดังนั้น
3.in order that =เพื่อว่า, เพื่อ, เพื่อที่จะ, เพื่อที่
ประโยคตัวอย่างของคำเชื่อมเหล่านี้
-I work hard that I may succeed.
=ข้าพเจ้าทำงานหนักซึ่งข้าพเจ้าอาจจะประสบความสำเร็จ.
-He lived here several years so that he fled.
=เขาอาศัยอยู่ที่นี่หลายปีดังนั้นเขาจึงหนีไป.
-I wrote the book in order that I might have some money.
=ผมเขียนหนังสือเพื่อว่าผมอาจจะมีเงินบาง.
อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเหตุผล
-อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ของเหตุผลใช้คำชื่อม 2 คำ คือ:-
1.so =ดังนั้น, มาก, แล้ว, เพราะฉะนั้น, ปานฉะนี้
2.such =อย่างเช่น, ดังนั้น, เช่นนี้, เช่นนั้น, แท้ๆ, จริงๆ
ประโยคตัวอย่างของคำเชื่อมทั้งสองนี้
-That teacher is so good and helpful that all students respect him.
=ครูคนนั้นดีมากและมีความเอื้อเฟื้อจนนักเรียนทุกคนนับถือเขา.
-We were bored with the movie, so we left.
=พวกเราเบื่อภาพยนตร์นี้ดังนั้นพวกเราจึงได้จากไป.
-He is such a polite boy that everybody likes him.
=เขาเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยจริงๆจนทุกคนชอบเขา.
Noun Clause
-noun clause คืออนุประโยคคำนาม มีหน้าที่ 5 อย่างในประโยคคือ:-
1.เป็นประธานของประโยค
2.เป็นกรรมของกิริยาที่มีกรรม
3.เป็นคำคุณศัพท์ขยายนาม
4.เป็นคำกิริยาวิเศษณ์ขยายกิริยา
5.เป็นกรรมของคำบุรพบท
6.เป็นนามซ้อน
-คำเชื่อมที่ใช้ในอนุประโยคคำนามมี 7 คำ คือ:-
1.when =เมื่อ ตอน เวลา พอ ครั้น ขณะที่ ก็ต่อเมื่อ ตอนที่ ต่อเมื่อ
2.what =อะไร เท่าไหร่
3.why =ทำไม ไฉน เพราะเหตุไร
4.that =ที่ ที่ว่า เพราะ กระนั้น จน
5.where =ที่ไหน ตรงไหน สถานที่ ตรงที่ แห่งใด
6.how =อย่างไร กระไร เพียงใด แค่ไหน โดยวิธีใด
7.if =ถ้า หาก หากว่า เผื่อว่า มาตรว่า
และกิริยาที่ใช้มักจะเป็นกิริยาเหล่านี้ เช่น:-tell know hope say hear understand see believe ask
think
ประโยคตัวอย่างที่เป็นประธานของประโยค
-That she will come bact is uncertain.
=ที่ว่าหล่อนจะกลับมายังไม่แน่นอน.
-That you did not come was bad thing.
=ที่คุณไม่มาเป็นสิ่งที่ไม่ดี.
-That your wife had affair with other because you give joy to her is not enough.
=ที่ภรรยาของคุณมีความสัมพันธ์กับคนอื่นเพราะคุณให้ความสุขแก่เธอไม่เพียงพอ.
ประโยคตัวอย่างที่เป็นกรรมของกิริยา
-I can not tell what happen to you.
=ฉันไม่สามารถบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นแก่คุณได้.
-I can't figure out what's up with this computer.
=ผมคิดไม่ออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์เครื่องนี้.
-Stop telling me what to do.
=จงหยุดการพูดกับฉันถึงสิ่งที่จะทำ.
อนุประโยคที่ขยายกิริยา
-อนุประโยคที่ใช้ขยายกิริยา ถ้าอยู่หลัง verb to be ให้ใช้คำเชื่อม 3 ตัวนี้ คือ:-
1.what
2.where
3.that
ประโยคตัวอย่างที่ใช้คำเชื่อมทั้ง 3 ตัว
-what เช่น:-
-Making merit is what you must make always.
=การทำบุญเป็นที่คุณต้องกระทำเสมอ.
-where เช่น:-
-This is where I was born.
=นี้คือสถานที่ที่ฉันเกิด.
-Her desire is that you leave the house at once.
=ความปราถนาของเธอคุณจงออกไปจากบ้านนี้ในทันที.
อนุประโยคกิริยาวิเศษณ์ขยายนาม
-I give a gift what she desires.
=ผมให้ของขวัญสิ่งที่เธอต้องการ.
-We have sent money what everybody wants to her.
=พวกเราได้ส่งเงินสิ่งที่ทุกคนต้องการให้แก่เธอ.
-What he will make tomorrow is learning English.
=สิ่งที่เขาจะกระทำในวันพรุ่งนี้คือการเรียนภาษาอังกฤษ.
-ประโยคนี้วางคำเชื่อมคือ what ไว้ต้นประโยค
อนุประโยคที่เป็นกรรมของคำบุรพบท
-คำเชื่อมที่ใช้คือ: in on under at เช่น:-
-My father was very pleased in what I had done.
=พ่อของฉันยินดีมากในสิ่งที่ฉันได้กระทำ.
-I attend place on where I go.
=ผมสนใจสถานที่บนสถานที่ๆผมไป.
-He likes to travel the seaside at everyone go to relex in the holiday.
=เขาชอบที่จะไปท่องเที่ยวริมทะเลที่ทุกคนไปพักผ่อนในวันหยุด.
อนุประโยคทำหน้าที่เป็นนามซ้อน
-The news that he had been killed by unknown gunman was not true.
=ข่าวที่ว่าเขาได้ถูกฆ่าตายโดยมือปืนลึกลับไม่จริง.
-Wantip wait you when you come she will go.
=วันทิพย์รอคุณเมื่อคุณมาหล่อนก็จะไป.
-School where everyone go to learn the book is a place generates people quality.
=โรงเรียนที่ทุกคนไปเรียนหนังสือเป็นสถานที่ผลิตคนที่มีคุณภาพ.
-We go to Bangsan where place is beautiful in Chonburi province.
=พวกเราไปบางแสนที่เป็นสถานที่ๆมีความสวยงามในจังหวัดชลบุรี.
การเรียงลำดับตำแหน่งคำที่ถูกต้องในประประโยค
-การเรียนรู้พื้นฐานในการเรียงลำดับตำแหน่งคำในประโยคอย่างถูกต้องนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าคนมีพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ค่อยดีจะ
เรียงลำดับคำในประโยคไม่ค่อยถูกต้อง บางคนพูดภาษาอังกฤษได้แต่ผิดหลักไวยกรณ์เราก็ให้อภัยเขาเพราะเขามีพื้นฐานของไวยกรณ์ไม่ดีนี้
คือการพูดแบบชาวบ้านที่ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษแบบถูกหลักไวยกรณ์มาก่อน จึงพูดภาษาอังกฤษไม่สุภาพไม่เพราะหูจับต้นชนปลายไม่ถูก
ภาษาในตระกูลยูโรภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่พูดแล้วมีความไพเราะที่สุด เพราะฉะนั้นท่านที่เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ได้เรียน
ภาษาอังกฤษมาอย่าพูดภาษาอังกฤษแบบผู้หญิงที่หากินกับฝรั่งต้องพูดให้ได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา ถ้าใครฝึกฝนการเรียนภาษาอังกฤษ
ตามเว็บไซต์ของข้าพเจ้านี้ผู้นั้นจะพูดภาษาอังกฤษได้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่าเจ้าของภาษาเลยทีเดียว
-ประโยคที่ใช้พูดจากันในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:-
1.Affirmative sentence (อัฟเฟอมะทีฟว์ เซนเทนซ์) แปลว่า "ประโยคบอกเล่า"
2.Question sentence (เควสชั่น เซนเทนซ์) แปลว่า "ประโยคคำถาม"
3.Answers sentence (อานเซอร์ เซนเทนซ์) แปลว่า "ประโยคคำตอบ"
4.negative sentence (เนกะทีฟว์ เซนเทนซ์) แปลว่า"ประโยคปฏิเสธ"
5.Negative question (เนกะทีฟว์ เควสชั่น) แปลว่า "คำถามปฏิเสธ"
1.Affirmative sentence (อัฟเฟอมะทีฟว์ เซนเทนซ์) แปลว่า "ประโยคบอกเล่า"
-ประโยคบอกเล่าแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.ประโยคบอกเล่าที่ไม่มีกรรม มีรูปโครงสร้างดังนี้
1.1 subject + verb เช่น:-
-He sleeps.
=เขานอนหลับ.
-We are walking.
=พวกเรากำลังเดิน.
-People joy.
=ประชาชนทั้งหลายปิติยินดี.
1.2 subject + verb + complement
-I am a Thai.
=ข้าพเจ้าเป็นคนไทย.
-They are teachers.
=พวกเขาเป็นครู.
-These books are mine.
=หนังสือเหล่านี้เป็นของฉัน.
2.ประโยคบอกเล่าที่มีกรรม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
2.1ประโยคบอกเล่าที่มีกรรมตรง (direct object) มีรูปโครงสร้างดังนี้
-ประธาน + กิริยา + กรรมตรง เช่น:-
-She eats an apple.
=หล่อนกินแอปเปิ้ล.
-I receive gifts.
=ฉันรับของขวัญ.
-They kick a football.
=พวกเขาเตะฟุตบอล.
2.2 ประโยคบอกเล่าที่มีกรรมรอง (indirect object) มีรูปโครงสร้างดังนี้
-ประธาน + กิริยา + กรรมรอง + กรรมตรง เช่น:-
-He gives me a book.
=เขาให้หนังสือแก่ฉัน.
-I make them the homework.
=ฉันทำการบ้านให้พวกเขา.
-She buys Ladda a shirt.
=หล่อนซื้อเสื้อให้แก่ลัดดา.
-Let me buy you a drink.
=อนุญาตให้ฉันซื้อเครื่องดื่มให้คุณ.
-I will send you a letter.
=ฉันจะส่งจดหมายให้แก่คุณ.
**คำกิริยา 17 ตัวเหล่านี้มักจะตามด้วยกรรมทั้ง 2 ตัวเสมอ คือ:-
1.bring (บริง) แปลว่า "พก, เบิก, นำมาซึ่ง, พกพา, นำพา"
2.get (เกท) แปลว่า "ได้รับ, ทำให้, เอา, เอาไปเสีย, บรรลุ"
3.give (กิ๊ฟว์) แปลว่า "ให้, ประทาน, ยกให้, แจก"
4.hand (แฮนดฺ) แปลว่า "มอบ, ส่ง, ยื่น, จับ, ถือ, หิ้ว, จูง " ถ้าเป็นคำนามแปลว่า "มือ"
5.leave (ลีฟว์) แปลว่า "ปล่อย, ทิ้ง, จาก, ละ, ยกเลิก, สละ, แรม, ผันผาย,
ปล่อยปละละเลย, ลาจาก, ออกไป, ร่ำลา"
6.offer (อ๊อฟเฟอร์) แปลว่า "เสนอ, มอบ, ให้, ถวาย, ประเคน"
7.pass (พาส) แปลว่า "ผ่าน, ผ่านไป, พ้น"
8.send (เซนดฺ) แปลว่า "ส่ง, นำส่ง"
9.take (เทค) แปลว่า "เอา, นำเอา, จับ, หยิบ, พก, ฉกฉวย"
10.tell (เทล) แปลว่า "บอก, กล่าว"
11.read (รีด) แปลว่า "อ่าน"
12.write (ไรทฺ) แปลว่า "เขียน, จด, ประพันธ์"
13.teach (ทีช) แปลว่า "สอน, อบรม"
14.buy (บาย) แปลว่า "ซื้อ, จับจ่าย"
15.sell (เซล) แปลว่า "ขาย, จำหน่าย"
16.fix (ฟิคซ์) แปลว่า "ซ่อม, ซ่อมแซม, ปรับปรุง, แก้ไข"
17.make (เมค) แปลว่า "ทำ, สร้าง, ก่อ"
-ในกรณีที่ไม่มีกรรมรองจะใส่คำวลีแทนก็ได้ เช่น:-
-I buy a perfume for her.
=ผมซื้อน้ำหอมให้แก่เธอ.
-perfume (เพอฟิม) แปลว่า "น้ำหอม"
**หมายเหตุ:- ประโยคที่สมบูรณ์แบบจะมีส่วนประกอบของคำดังนี้
-อาร์ทิเกิล หรือ คุณศัพท์ + ประธาน + กิริยา + คำกิริยาวิเศษณ์ + กรรม + คำขยายกรรม + วลี เช่น:-
-A tall man give a food at yummy for me today.
=ชายร่างสูงให้อาหารที่อร่อยแก่ฉันในวันนี้.
-Viyada was ill in a hotel at famous outskirts yesterday.
=วิยดาป่วยในโรงแรมที่มีชื่อเสียงอยู่นอกเมืองเมื่อวานนี้.
-We live on the outskirts of town.
2.Question sentence (เควสชั่น เซนเทนซ์) แปลว่า "ประโยคคำถาม"
-การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามมีหลักอันเป็นรากฐานอยู่ 3 ข้อ คือ:-
2.1ถ้าประโยคบอกเล่านั้นมีกิริยาเป็น verb to be เวลาทำให้เป็นประโยคคำถามให้เอา verb to be ไว้ต้นประโยคและเครื่องหมาย
คำถามคือ ? ไว้ท้ายประโยค เช่น:-
-ประโยคบอกเล่า เช่น:- She is a good woman.
-ประโยคคำถาม เช่น:-Is she a good woman?
=หล่อนเป็นคนดีหรือ?
-ประโยคบอกเล่า เช่น:-Wantip is a very beautiful woman.
-ประโยคคำถาม เช่น:-Is Wantip a very beautiful woman?
=วันทิพย์เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งหรือ?
-ประโยคบอกเล่า เช่น:-There are fruits in the basket.
-ประโยคคำถาม เช่น:-Are there fruits in the basket?
=มีผลไม้ในตะกร้านั้นหรือ?
-คำถามที่ขึ้นต้นประโยคด้วย Question Word เช่น:-
-How are you?
=คุณเป็นอย่าง?
-What is your name?
=คุณชื่ออะไร?
-Where are you from? (แบบอังกฤษ)
=คุณมาจากไหน?
-ประโยคคำถามใช้มากในภาษาพูด ถ้าคนไหนอยากพูดภาษาอังกฤษเก่งให้ฝึกสร้างประประโยคคำถามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มองเห็นอะไรรอบกายให้นึกสร้างเป็นประโยคคำถามในทันทีเมื่อฝึกสร้างประโยคคำถามได้แล้ว ก็ให้นึกหาคำตอบของประโยคนั้นด้วย อย่างน้อยวันหนึ่งให้สร้างประโยคคำถามให้ได้ 20 ประโยค เช่น:-
-ถ้ามองเห็นแก้วน้ำ ให้นึกแต่งประโยคขึ้นในใจทันทีว่า
-How much is a glass of water in this room?
=มีแก้วน้ำกี่ใบในห้องนี้.
-นึกตอบว่า "There are ten glasses of water in this room."
=มีแก้ว 10 ใบในห้องนี้
-มองเห็นปากกาก็ให้นึกถามขึ้นในใจว่า
-Whose is it a pen?
=มันเป็นปากกาของใคร?
-ให้ทำการนึกตอบในใจว่า
-It is father's pen.
=มันเป็นปากกาของพ่อ.
Q:-Is it father's pen really?
A:-Yes,it is father's pen really.
Q:-How price is this pen ?
A:-This pen has price three hundred bahts.
Q:-what did this pen make in a country?
A:-It was maked by China.
Q:-Was it best goods of chaina?
A:-Yes,it was.
2.2 ถ้าประโยคบอกเล่านั้นใช้กิริยาตัวอื่นนอกจาก verb to be ให้เปลี่ยนกิริยาตัวนั้นเป็น verb to do เสียก่อนและกิริยาตัวเดิมต้องเป็นรูป
ปัจจุบันกาล เช่น:-
-He likes to drink coffee.
=เขาชอบการดื่มกาแฟ.
-Does he like to drink coffee?
=เขาชอบการดื่มกาแฟหรือ?
-She lived in home at beautiful.
=หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านที่สวยงาม.
-Did she live in home at beautiful?
=หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านที่สวยงามหรือ?
-We ate food finished.
=พวกเราทานอาหารเสร็จแล้ว.
-did you eat food finished?
=พวกคุณทานอาหารเสร็จแล้วหรือ?
2.3 ในประโยคบอกเล่าที่มีกิริยาช่วยทั้งหลายเหล่านี้คือ:-
-do does did done
-has have had
-shall should will would
-can could
-may might
-เวลาทำให้เป็นประโยคคำถามให้เอากิริยาช่วยเหล่านี้วางไว้ต้นประโยคและใส่เครื่องหมายคำถามคือ ? ไว้ท้ายประโยค เช่น:-
-She does homework everyday. เปลี่ยนเป็น Does she homework everyday?
-He has five dogs. ,, ,, Has he five dogs?
-I shall go to Grungtep. ,, ,, Will you go to Grungtep?
-I can speak English. ,, ,, Can you speak English?
-You may go there today. ,, ,, May you go there today?
3.Answers sentence (อานเซอร์ เซนเทนซ์) แปลว่า "ประโยคคำตอบ"
-ในประโยคคำตอบเราจะตอบสั้นหรือยาวก็ได้แต่ในภาษาพูดมักจะตอบสั้นๆพอเข้าใจ เช่น:-
-ประโยคคำถาม เช่น:-
-How old are you?
=คุณอายุเท่าไหร่?
-ตอบแบบยาว เช่น:-
-I am twenty five years old.
=ฉันอายุ 25 ปี.
-ตอบแบบสั้นๆ เช่น:-
-twenty five years
=25 ปี
-ประโยคคำถาม:-Which day will you go Grungtep?
=คุณจะไปกรุงเทพฯวันไหน?
-ตอบแบบยาว เช่น:-
-I will go Grungtep today.
=ผมจะไปกรุงเทพในวันนี้.
-ตอบแบบสั้นๆ เช่น:-
-Today =วันนี้
-ประโยคคำถาม เช่น:-
-Do you like beer?
=คุณชอบเบียร์ไหม?
-ตอบแบบยาว เช่น:-
-Yes, I like it very much.
=ใช่,ผมชอบมันมาก.
-ตอบแบบสั้น เช่น:-
-Yes, I do.
=ใช่, ผมชอบ.
-ประโยคคำถาม เช่น:-
-Has he left already?
=เขาได้จากไปเรียบร้อยแล้วหรือ?
-ตอบแบบยาว เช่น:-
-Yes,he has left already.
=ใช่, เขาได้จากไปเรียบร้อยแล้ว.
-ตอบแบบสั้น เช่น:-
-Yes, he has.
=ใช่, เขาจากไปแล้ว.
รูปย่อของประธานและกิริยาที่ควรจำ
-I'm = I am
-I've = I have
-I'll = I will
-we're = we are
-w've = we have
-we'll = we will
-you're = you are
-you've = you have
-you'll = you will
-he's = he is
-he'll = he will
-she's = she is
-she'll = she will
-it's = it is
-they're = they are
-they've = they have
-they'll =they will
4.negative sentence (เนกะทีฟว์ เซนเทนซ์) แปลว่า"ประโยคปฏิเสธ"
-รูปแบบประโยคอีกแบบหนึ่งในภาษาอังกฤษคือ ประโยคปฏิเสธ หลักการในการทำประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธไม่ซับซ้อนเท่าประโยคคำถาม
ทางลัดคือแค่หากริยาแท้และกริยาช่วยในประโยคให้ได้
4.1สำหรับ simple tense ไม่ว่าจะเป็น present หรือ past tense ให้ใช้ verb to do เข้ามาช่วย เพราะประโยคบอกเล่าของมันไม่มีกริยา
ช่วย แค่นำกริยาช่วย verb to do มาเติม not แล้ววางๆไว้หน้ากริยาแท้ในประโยคก็เป็นอันเรียบร้อย สามารถเขียนรูปย่อได้ดังนี้
-do not = don’t
-does not = doesn’t
-did not = didn’t
เช่น:-
-You don’t have to go there.
-They did not tell us about this.
-She doesn’t like living in downtown.
4.2 ใน Tense อื่นๆ นั้นจะมีกริยาช่วยในประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตามหาให้วุ่นวาย ก็จับ not ใส่ข้างหลังกริยาช่วยเหล่านั้นได้เลยเป็นอันเรียบร้อยค่ะ รูปย่อของกริยาช่วยแต่ละตัวมีดังนี้
-am not = m not amn't
-is not = isn't
-are not = aren’t
-was not = wasn’t
-were not = weren’t
-has not = hasn’t
-have not = haven’t
-had not = hadn’t
เช่น:-
-They weren’t sleeping when the thief came in.
-I have not opened my computer for months.
**หมายเหตุ:- ในกรณีที่ verb to be ไม่ว่าจะเป็นกริยาช่วยหรือกริยาแท้ (แปลว่า เป็น, อยู่, คือ) ก็เติม not เข้าไปได้เลย เช่น:-
-He isn’t here.
=เขาไม่ได้อยู่ที่นี่.
แต่ถ้า verb to have หรือ verb to do เป็นกริยาแท้จะเติม not เข้าไปเลยไม่ได้ ต้องเอา verb ช่วย ตาม tense นั้นมาเติมอีกทีหนึ่ง
เช่น:-
-I don’t have much work.
-She has done it alone.
**ข้อควรจำ:- ประโยคอื่นๆ ที่มี กิริยาช่วย (can, could, will, would, may, might, shall, should) เวลาอยากจะทำเป็นปฏิเสธ
ก็เติม not เข้าไปหลัง กิริยาช่วย ได้เลยเช่นกัน เช่น:-
-I can’t believe it happened.
-You shouldn’t spend much money on useless things.
ประโยคบางประโยค ถึงแม้ไม่มีคำว่า not แต่มีจะมี adverb ที่มีความหมายเป็นปฏิเสธก็จะถือเป็นประโยคปฏิเสธเช่นกัน เช่น:-
-He never comes early.
-She hardly speaks rudely.
ตำแหน่งในการวางกริยาวิเศษณ์เหล่านี้ก็มักจะวางไว้หน้า verb แท้ในประโยค
5.Negative question (เนกะทีฟว์ เควสชั่น) แปลว่า "คำถามปฏิเสธ"
-ประโยคคำถามปฏิเสธแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ:-
1.ประโยคคำถามปฏิเสธแบบเอารุปคำปฏิเสธไว้ด้านหน้ามีหลักในการวางดังนี้
-ประโยคตัวอย่าง เช่น:- Is he a student? =เขาเป็นนักศึกษาหรือ?
-ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:- Is he not a student? =เขาไม่เป็นนักศึกษาหรือ?
หรือจะใช้รรูปประโยคอย่างนี้ก็ได้ เช่น:-Isn't he a student?
-ประโยคตัวอย่าง เช่น:- Does she like coffee? =หล่อนชอบกาแฟหรือ?
-ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:-Does she not like coffee? =หล่อนไม่ชอบกาแฟหรือ?
หรือจะเป็นรูปปฏิเสธแบบนี้ก็ได้ เช่น:-Doesn't she like coffee?
-ประโยคตัวอย่าง เช่น:-Do you have money? =คุณมีเงินไหม?
-ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:- Do you not have money? =คุณไม่มีเงินใช่ไหม?
หรือจะเป็นรูปปฏิเสธแบบนี้ก็ได้ เช่น:-Don't you have money?
-ประโยคตัวอย่าง เช่น:-Will he come here? =เขาจะมาที่นี่หรือ?
-ประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:-Will he not come here? =เขาจะไม่มาที่นี่หรือ?
หรือจะเป็นรูปปฏิเสธแบบนี้ก็ได้ เช่น:- Won't he come here?
2.ประโยคคำถามปฏิเสธแบบเอารูปคำปฏิเสธไว้ด้านหลังมีหลักในการวางดังนี้
2.1ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคบอกเล่า ประโยคหลังต้องเป็นประโยคคำถามปฏิเสธ เช่น:-
-He is a student, is not he?
=เขาเป็นนักศึกษาคนหนึ่งมิใช่หรือ?
-She likes coffee, doesn't she?
=หล่อนชอบกาแฟมิใช่หรือ?
-You have money, don't you?
=คุณมีเงินมิใช่หรือ?
-He will come here, won't he?
=เขาจะมาที่นี่มิใช่หรือ?
2.2ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ ประโยคหลังต้องเป็นประโยคคำถามบอกเล่า เช่น:-
-Penpag is not here, is she?
=เพ็ญพักตร์ไม่อยู่ที่นี่ใช่ไหม?
-He doesn't play a football, does he?
=เขาไม่เล่นฟุตบอลใช่ไหม?
-You can't drive a car, can you?
=คุณไมสามารถขับรถได้ใช่ไหม?
2.3คำตอบของประโยคคำถามปฏิเสธอาจเป็นดังนี้ก็ได้
-คำตอบแบบย่อ เช่น:-
-ถาม:- Isn't she pretty?
=หล่อนไม่ใช่คนสวยเร๊อ?
-ตอบแบบสั้น:-Yes, she is.
=ใช่, หล่อนไม่ใช่คนสวย.
-ตอบแบบยาว:- You may think so, but I don't.
=คุณอาจจะคิดเช่นนั้น,แต่ผมไม่คิด.
-คำถามแบบธรรมดา เช่น:-Will you have some coffee?
=คุณจะดื่มกาแฟบ้างไหม?
-คำถามแบบปฏิเสธ เช่น:-Won't you have some coffee?
=คุณจะไม่ดื่มกาแฟบ้างหรือ?
-คำตอบ:-No, thank. =ไม่หละครับ ขอบคุณ.
-Yes, thank =ครับ ขอบคุณ.
Question words
Question words หมายถึง คำที่ใช้ขึ้นต้นประโยค เพื่อทำให้ประโยคนั้นเป็นคำถาม ซึ่งต้องการให้ผู้ตอบได้ตอบโดยใช้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ประโยคคำถามส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย " W " และ " H " ได้แก่:-
-What ( อะไร )
-Where ( ที่ไหน )
-When ( เมื่อไร )
-Whose =ของใคร
-Why ( ทำไม )
-Who ( ใคร )
-Whom ( ใคร )
-Which ( อันไหน )
-How ( อย่างไร )
1.What ( อะไร ) ใช้กับประโยคต่างๆดังนี้ คือ:-
1.1ถามเกี่ยวกับสิ่งของ เช่น:-
-What is that ? =นั่นคืออะไร?
=It is a toy car. =มันคือรถยนต์เด็กเล่น.
1.2ถามเกี่ยวกับอาชีพ เช่น:-
-What does he do ? =เขาทำงานอะไร?
=He is a teacher. =เขาเป็นคุณครู.
1.3ถามเกี่ยวกับเวลา เช่น:-
-What time is it ? =มันเป็นเวลาเท่าไหร่?
=It is ten o'clock. =มันเป็นเวลา 10 นาฬิกา.
2.Where ( ที่ไหน ) ใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่ เช่น:-
-Where do you live ? =คุณอยู่ที่ไหน?
=I live in the city. =ฉันอยู่ในเมือง.
-Where are you now ? =คุณอยู่ที่ไหนขณะนี้?
=I sit under the big tree. =ฉันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่.
-Where do you drive? =คุณขับรถไปไหน?
=I drive to the countryside. =ฉันขับรถไปชนบท.
-Where is your school? =โรงเรียนคุณอยู่ที่ไหน?
=My school is in the village. =โรงเรียนของฉันอยู่ในหมู่บ้าน.
-Where do you travel ? =คุณเดินทางไปไหน?
=I travel to Nakornpanom. =ผมเดินทางไปยังนครพนม.
3.When ( เมื่อใด , เมื่อไร ) ใช้ถามเกี่ยวกับเวลา เช่น:-
-When แปลว่า “ เมื่อไร” คำตอบของ When จะบอกเวลา เช่น วัน เดือน ปี หรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้
3.1When + verb to be + noun ? เช่น :-
-When is your birthday ?
-It’s on 10 November.
-When is Michael’s party ?
-It’s on next Friday, at 6 p.m.
3.2When + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้ + (กรรม) ? เช่น:-
-When do you usually have breakfast ?
-I usually have breakfast at 6.30 a.m.
-When did you buy this house ?
-I bought it last year.
3.3When (เมื่อ) ใช้เป็นคำเชื่อม
เช่น:-
-You sat it best when you say nothing at all. =คุณพูดได้ดีที่สุดเมื่อ คุณไม่พูดอะไรเลย.
-The sky is beautiful when the sun goes down. =ท้องฟ้าสวยเมื่อพระอาทิตย์ตก.
-Sing when you’re ready. =ร้องเพลงเมื่อเธอพร้อม.
-He arrived when we were sleeping. =เขามาถึงเมื่อเรากำลังนอนหลับ.
-We lived in Japan when we were young. =เราอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเมื่อ เราเป็นเด็ก.
-We feel cool when the wind blows. =เรารู้สึกเย็นเมื่อลมพัด.
3.4When (เมื่อไหร่) ใช้เป็นคำถาม เช่น:-
-When do the Olympic Games start? กีฬา โอลิมปิก เริ่ม เมื่อไหร่
-When were you born? คุณ เกิด เมื่อไหร่
-When will you come back to Thailand? คุณ จะ กลับ ไทย เมื่อไหร่
-When will I see you again! ผม จะ พบ คุณ อีกครั้ง เมื่อไหร่
-When will you visit your aunt in America? คุณจะไปเยี่ยมป้าในอเมริกาเมื่อไหร่
-When will you go to England? คุณ จะ ไป อังกฤษ เมื่อไหร่
-When did it happen? มัน เกิดขึ้น เมื่อไหร่
-When is your birthday? วันเกิด ของคุณเมื่อไหร่
-When does the school start? โรงเรียน เปิด เมื่อไหร่
-When will I find my love? ฉัน จะ พบ รัก ของฉัน เมื่อไหร่
-When will you love me? คุณ จะ รัก ฉัน เมื่อไหร่
4.Whose แปลว่า “ของใคร” แบ่งวิธีการใช้ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
4.1Whose + นาม + กริยา + (กรรม) ?
คำนามที่ตามหลัง ถ้ามีรูปเป็นเอกพจน์ คำกริยาก็เป็นเอกพจน์ด้วย แต่ถ้าคำนามเป็น
พหูพจน์คำกริยาก็จะเป็นพหูพจน์ด้วย เช่น:-
-Whose dog is it ?
-It’s Thada’s dog.
-Whose books are on the table ?
-Their books are on the table.
4.2 Whose ทำหน้าที่เป็นกรรม
Whose + นาม + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้ ? เช่น:-
-Whose books did you borrow ?
-I borrowed Suda’s books.
-Whose house will you rent ?
-I shall rent Malinee’s house.
5.Why แปลว่า “ ทำไม” “ เพราะอะไร” คำตอบของ Why มักใช้คำว่า because (เพราะว่า เนื่องจาก)
5.1 Why + verb to be + นาม/ สรรพนาม + adjective ? เช่น:-
-Why are you happy ?
-I am happy because I get good mark.
-Why is your mother angry ?
-My mother is angry because I broke a lot of glasses.
5.2 Why + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้ + (กรรม) ? เช่น:-
-Why does the baby cry ?
-The baby cries because it is hungry.
-Why does Susan sing ?
-She sings because she is happy.
6.How แปลว่า “ อย่างไร” ซึ่งคำตอบของ how จะเกี่ยวกับวิธีการ ลักษณะ หรือ อาการต่างๆ
6.1How + verb to be + นาม/ สรรพนาม ? เช่น:-
-How are you today ?
-I’m fine
-How is your father ?
-He is better.
6.2 How + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้ + (กรรม) ? เช่น:-
-How do you go to Chiang Mai ?
-I go to Chiang Mai by train.
-How did you draw this picture ?
-I coppied it.
6.3 How + adj. + verb to be + ประธาน เช่น:-
-How old is she ?
-She is 16 years old.
-How tall is John ?
-He is 6 feet tall.
6.4. How + much + นามนับไมได้ + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
เช่น:-
-How much oil did he buy ?
-He bought a gallon of oil.
-many + นามนับได้พหูพจน์ เช่น:-
-How many dogs do you have ?
-I have eleven dogs.
7.Which แปลว่า “ คนไหน” “ ตัวไหน” หรือ “ อันไหน” เป็นได้ทั้งประธาน และกรรมของกริยา ใช้ได้กับคนสัตว์และสิ่งของ
7.1.เมื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
-Which + กริยา + กรรม ? หรือ Which + นาม/สรรพนาม + กริยา + กรรม ? หรือ
Which of + นาม/สรรพนาม + กริยา + กรรม ? เช่น:-
-Which is yours ?
-The red one is mine.
-Which book is hers ?
-The blue one is hers.
-Which of the boys is smart ?
-Tom is smart.
7.2.เมื่อทำหน้าที่เป็นกรรม
-Which + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้ ? หรือ
Which + นาม/สรรพนาม + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้ ? หรือ
Which of + นาม/สรรพนาม + กริยา ช่วย+ ประธาน + กริยาแท้ ?
-เช่น:-
-Which do you live most ?
-I live the red one most.
-Which book do you want to buy ?
-I want to buy a cartoon book.
-Which of the girls is the most beautiful ?
-Wipa is the most beautiful.
8.Whom มีความหมายว่า ใคร ใช้ถามถึงบุคคลและใช้เป็นกรรม (object) หรือผู้ถูกกระทำของประโยค โดยมีรูปแบบประโยคดังต่อ
ไปนี้
โครงสร้างประโยคคำถาม
-Whom + helping verb + subject + Verb?
=กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
โครงสร้างประโยคคำตอบ
-ประธาน + (กริยา) + ส่วนขยาย. เช่น:-
-ประโยคคำถาม A: Whom do they meet ?
-ประโยคคำตอบ A: They meet their friends.
-ประโยคคำถาม B: Whom are you waiting for?
-ประโยคคำตอบ B: I am waiting for my mother.
-ประโยคคำถาม C: Whom does she go with?
-ประโยคคำตอบ C: She goes with her son.
-ประโยคคำถาม D: Whom are you speaking to?
-ประโยคคำตอบ:D: I am speaking to my students.
**ข้อสังเกต:- เรานิยมใช้ "Who" แทน "Whom" ได้
-คำว่า Who เราจะคุ้นเคยว่า คำนี้แปลว่า ใคร แต่จริงๆแล้วมันสามารถนำไปใช้เชื่อมประโยคได้ด้วย ซึ่งถ้าทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมจะ
แปลว่า ผู้ที่ Who (ใคร) ใช้เป็นคำถาม เช่น:-
-Who is that? =นั่นคือใคร?
-That is John. =นั่นคือจอห์น.
-Who came to school yesterday. =ใครมาโรงเรียนเมื่อวาน?
-Jo did. =โจมา. (งงกับคำตอบไหม ถ้างงเดี๋ยวค่อยไปเรียน past simple tense)
-Who are they? =พวกเขาเป็นใคร?
-They are my parents. =พวกเขาเป็นพ่อแม่ของฉัน.
-Who ate my cake? =ใครกินเค้กของฉัน?
-He did. =เขากิน. (งงกับคำตอบไหม ถ้างงเดี๋ยวค่อยไปเรียน past simple tense)
-Who wants the money? =ใครต้องการเงิน.
-Jane does. =เจนต้องการ (งงกับคำตอบไหม ถ้างงเดี๋ยวค่อยไปเรียน present simple tense)
-Who is the richest man in Thailand? =ใครคือบุรุษที่รวยที่สุดในไทย.
-Mr. Rich is. นายริช เป็น
-Who (ผู้ที่) ใช้เป็นคำเชื่อม
คำว่า ผู้ที่ บางครั้งแปลว่า ใคร ก็ได้ ในบางประโยค เช่น:-
-He is the man who came here yesterday. =เขาคือผู้ชายผู้ที่มาที่นี่เมื่อวาน.
-That is the girl who gave me the pencil. =นั่นคือผู้หญิงผู้ที่ให้ดินสอแก่ฉัน.
-This is my best friend who always helps me. =นี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันผู้ที่ช่วยฉันสมอ.
-I don’t know who she is. =ผมไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร.
-I know who that boy is. =ผมรู้ว่าเด็กชายคนนั้นเป็นใคร.
-I don’t care who that man is. =ผมไม่สนว่าชายคนนั้นเป็นใคร.